TOEIC คืออะไร? คู่มือฉบับสมบูรณ์ 2025 เจาะลึกทุกเรื่องที่ต้องรู้ก่อนสอบ

ในยุคที่การแข่งขันในตลาดแรงงานเข้มข้นขึ้นทุกวัน คะแนน TOEIC กลายเป็นตัวชี้วัดความสามารถที่บริษัทชั้นนำใช้คัดเลือกพนักงาน หากคุณยังไม่รู้ว่า TOEIC คืออะไร และทำไมมันถึงสำคัญขนาดนี้ บทความนี้จะพาคุณทำความเข้าใจ TOEIC อย่างครบถ้วน ตั้งแต่โครงสร้างข้อสอบ เกณฑ์คะแนนที่บริษัทต้องการ วิธีการสมัครสอบ ไปจนถึงเทคนิคการเตรียมตัวที่มีประสิทธิภาพ มาเริ่มต้นการเดินทางสู่ความสำเร็จด้วยการทำความรู้จัก TOEIC ให้ถ่องแท้กันเถอะ

I. TOEIC คืออะไร?

1. นิยามและความหมายของ TOEIC (Test of English for International Communication)

TOEIC คืออะไร?
TOEIC คืออะไร?

TOEIC คืออะไร? คำถามนี้เป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญของการทำความเข้าใจข้อสอบที่มีอิทธิพลต่อโอกาสในการทำงานของคุณ TOEIC หรือ Test of English for International Communication คือการประเมินความสามารถทางภาษาอังกฤษที่ออกแบบมาเพื่อวัดทักษะการสื่อสารของผู้ใช้ภาษาอังกฤษในสภาพแวดล้อมการทำงานระหว่างประเทศ

การทดสอบ TOEIC ไม่ได้มุ่งเน้นเฉพาะศัพท์เทคนิคหรือไวยากรณ์ซับซ้อน แต่เน้นการวัดความสามารถในการเข้าใจและใช้ภาษาอังกฤษในสถานการณ์จริงของโลกธุรกิจ ทั้งการฟังการประชุม การอ่านอีเมลงาน การเข้าใจประกาศของบริษัท หรือการสื่อสารกับเพื่อนร่วมงานชาวต่างชาติ

2. ผู้จัดทำคือใคร และทำไมถึงเป็นที่ยอมรับทั่วโลก (ETS)

Educational Testing Service หรือ ETS เป็นองค์กรที่คิดค้นและพัฒนาการ สอบ toeic มาตั้งแต่ปี 1979 โดย ETS มีประสบการณ์กว่า 70 ปีในการพัฒนาแบบทดสอบมาตรฐานระดับสากล รวมถึง TOEFL และ GRE

ความน่าเชื่อถือของ TOEIC สร้างขึ้นจากกระบวนการวิจัยและพัฒนาที่เข้มงวด ข้อสอบแต่ละชุดผ่านการทดสอบกับผู้เข้าสอบหลายพันคนก่อนนำมาใช้จริง มีการปรับปรุงเนื้อหาอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้สอดคล้องกับการใช้ภาษาอังกฤษในปัจจุบัน และมีระบบการให้คะแนนที่แม่นยำด้วยเทคโนโลยี Item Response Theory

II. ทำไมคะแนน TOEIC จึงเป็นสิ่งจำเป็น? และใครบ้างที่ต้องใช้คะแนนสอบนี้

ทำไมคะแนน TOEIC จึงเป็นสิ่งจำเป็น?

1. ประโยชน์สำคัญ 3 ด้านของการมีคะแนน TOEIC

  • ปลดล็อกตำแหน่งงานในองค์กรชั้นนำและสายงานเฉพาะทาง (การบิน, การโรงแรม, การเงิน)

บริษัทชั้นนำในไทยใช้คะแนน TOEIC เป็นเกณฑ์ในการคัดเลือกบุคลากรเพราะต้องการพนักงานที่สามารถสื่อสารกับลูกค้าและพันธมิตรต่างชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพ สายงานการบินต้องการคะแนนอย่างน้อย 600 คะแนนสำหรับตำแหน่งแอร์โฮสเตส ธุรกิจโรงแรมระดับ 5 ดาวต้องการ 700+ สำหรับตำแหน่งผู้จัดการ และสถาบันการเงินต้องการ 750+ สำหรับตำแหน่งที่ต้องติดต่อกับธนาคารต่างประเทศ

  • เพิ่มโอกาสในการเลื่อนตำแหน่ง, ปรับเงินเดือน และไปทำงานต่างประเทศ

สถิติจากการสำรวจของหอการค้าไทยแสดงให้เห็นว่าพนักงานที่มีคะแนน TOEIC 750+ มีโอกาสได้รับการเลื่อนตำแหน่งเร็วกว่าเพื่อนร่วมงานถึง 40% และมีโอกาสได้รับเงินเดือนเพิ่มมากกว่าเฉลี่ย 15-25% นอกจากนี้ บริษัทข้ามชาติมักใช้คะแนน TOEIC เป็นเงื่อนไขสำหรับการส่งพนักงานไปฝึกงานหรือทำงานที่สำนักงานใหญ่ในต่างประเทศ

  • เป็นเงื่อนไขสำคัญในการสำเร็จการศึกษาของหลายมหาวิทยาลัย

มหาวิทยาลัยชั้นนำในไทยกว่า 120 แห่งกำหนดให้นักศึกษาต้องมีคะแนน TOEIC ขั้นต่ำเพื่อสำเร็จการศึกษา โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 450-550 คะแนนสำหรับปริญญาตรี และ 600-700 คะแนนสำหรับปริญญาโท การมีคะแนน TOEIC ที่ดีตั้งแต่เรียนจะช่วยให้คุณมีเวลาเตรียมตัวสำหรับการหางานหรือเรียนต่อมากขึ้น

2. กลุ่มบุคคลที่ต้องใช้ผลสอบ TOEIC เป็นหลัก

  • นักศึกษาและบัณฑิตจบใหม่

นักศึกษาปีสุดท้ายต้องวางแผนการ สอบ toeic ล่วงหน้าอย่างน้อย 6-12 เดือนก่อนจบการศึกษา เพราะผลสอบจะใช้เวลาประมาณ 2 สัปดาห์ และหากคะแนนไม่เป็นไปตามเป้าหมาย จะมีเวลาสอบซ้ำได้อีก 1-2 ครั้ง การเตรียมตัวล่วงหน้าจะช่วยลดความเครียดและเพิ่มโอกาสในการได้คะแนนที่ต้องการ

  • ผู้สมัครงาน (First Jobber)

บัณฑิตจบใหม่ที่มีคะแนน TOEIC ที่ดีจะโดดเด่นกว่าผู้สมัครคนอื่นในสายตาของนายจ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อสมัครงานในบริษัทข้ามชาติ บริษัทไอที หรือองค์กรที่มีการติดต่อกับต่างประเทศ หลายบริษัทใช้คะแนน TOEIC เป็นเกณฑ์คัดกรองเบื้องต้น ก่อนที่จะเชิญเข้ารับการสัมภาษณ์

  • พนักงานบริษัทที่ต้องการความก้าวหน้าในสายอาชีพ

พนักงานที่ทำงานมาแล้ว 2-3 ปีและต้องการเลื่อนตำแหน่งเป็นหัวหน้างานหรือผู้จัดการจำเป็นต้องมีคะแนน TOEIC ที่สูงขึ้น เพราะตำแหน่งบริหารต้องสื่อสารกับลูกค้าและพันธมิตรระดับสูงมากขึ้น การลงทุนเวลาในการยกระดับคะแนน TOEIC จึงเป็นการลงทุนในอนาคตของอาชีพ

III. เจาะลึกโครงสร้างข้อสอบ TOEIC (Listening & Reading) รูปแบบล่าสุด

1. ภาพรวมการทดสอบ: 200 ข้อ 2 ชั่วโมง คะแนนเต็ม 990

การ ทดสอบ TOEIC แบบ Listening & Reading ใช้เวลาทั้งหมด 2 ชั่วโมง ประกอบด้วยข้อสอบ 200 ข้อ แบ่งเป็น Listening 100 ข้อ และ Reading 100 ข้อ คะแนนเต็ม 990 คะแนน โดยแต่ละทักษะมีคะแนนเต็ม 495 คะแนน ข้อสอบใช้ระบบ Multiple Choice ทั้งหมด และห้ามใช้พจนานุกรมหรือเครื่องมือช่วยใดๆ

2. โครงสร้างข้อสอบ TOEIC แบบ Listening & Reading

โครงสร้างข้อสอบ TOEIC แบบ Listening & Reading

ส่วนของการสอบ Section จำนวนข้อ เวลา รายละเอียด ทักษะที่ทดสอบ
Part 1: Listening Section 1: Photographs 6 ข้อ 45 นาที (รวม) การเชื่อมโยงภาพกับคำบรรยาย ภาพสถานการณ์ในสำนักงาน ร้านค้า สถานที่ทำงาน การสังเกตรายละเอียด การกระทำของคน สถานที่ วัตถุ
Section 2: Question-Response 25 ข้อ คำถามสั้นๆ และคำตอบ 3 ตัวเลือก ความเข้าใจเชิงสถานการณ์ การตอบสนองที่เหมาะสมทางสังคม
Section 3: Conversations 39 ข้อ บทสนทนา 2-3 คน แต่ละบทสนทนา 3 คำถาม การจับใจความ การจำรายละเอียด การเดาความหมายจากบริบท
Section 4: Talks 30 ข้อ บทพูดคนเดียว แต่ละบท 3 คำถาม การสรุปความ การจับประเด็นหลัก การเข้าใจความหมายโดยรวม
Part 2: Reading Section 5: Incomplete Sentences 30 ข้อ 75 นาที (รวม) ประโยคที่มีช่องว่าง 1 ช่อง เลือก 4 ตัวเลือก ไวยากรณ์ Tense, Passive Voice, Conditional และคำศัพท์ธุรกิจ
Section 6: Text Completion 16 ข้อ ข้อความสั้น อีเมล ประกาศ มีช่องว่าง 4 ช่อง การเชื่อมโยงความคิด การไหลของเนื้อหา Cohesion & Coherence
Section 7: Reading Comprehension 54 ข้อ ข้อความยาว บทความข่าว โฆษณา รายงาน คู่มือ Skimming, Scanning, Inferencing การอ่านเร็วและการอนุมาน

IV. คะแนน TOEIC เท่าไหร่ถึงจะดี? วิธีเทียบเกณฑ์คะแนนที่องค์กรยอมรับ

1. ตารางเทียบระดับคะแนน TOEIC กับความสามารถในการสื่อสาร (Score Band Descriptors)

  • คะแนน TOEIC 10-250 หมายถึงผู้เริ่มต้นเรียนภาษาอังกฤษที่สามารถเข้าใจคำและวลีง่ายๆ เท่านั้น 
  • คะแนน 255-400 แสดงถึงผู้เรียนระดับต้นที่เข้าใจประโยคสั้นๆ ในหัวข้อที่คุ้นเคย 
  • คะแนน 405-600 เป็นระดับกลางที่สื่อสารเรื่องทั่วไปได้ แต่อาจมีข้อผิดพลาดบ้าง 
  • คะแนน 605-780 แสดงความสามารถในระดับกลางบน สามารถทำงานที่ต้องใช้ภาษาอังกฤษได้ 
  • และคะแนน 785-990 คือระดับสูงที่สื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพในสถานการณ์ส่วนใหญ่

2. ตัวอย่างเกณฑ์คะแนนที่บริษัทชั้นนำในไทยต้องการในสายงานต่างๆ

  • บริษัทซัมซุงประเทศไทยต้องการคะแนน TOEIC 700+ สำหรับตำแหน่งผู้จัดการ 
  • บริษัทไทยออยล์ต้องการ 650+ สำหรับวิศวกร 
  • ธนาคารกสิกรไทยต้องการ 600+ สำหรับเจ้าหน้าที่สินเชื่อ 
  • สายการบินไทยต้องการ 750+ สำหรับนักบิน 
  • และโรงแรมแมนดาริน โอเรียนเต็ลต้องการ 650+ สำหรับผู้จัดการแผนก 

การรู้เกณฑ์คะแนนจะช่วยให้คุณตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนและเหมาะสมกับอาชีพที่ต้องการ

V. คู่มือการสมัครสอบ TOEIC ฉบับจับมือทำ

1. ขั้นตอนที่ 1: การเตรียมตัวและเอกสารที่จำเป็นสำหรับการสมัคร

เอกสารหลักที่ต้องเตรียมคือบัตรประชาชนหรือหนังสือเดินทางที่ยังไม่หมดอายุ หากใช้ชื่อภาษาอังกฤษในการสมัคร ต้องตรงกับเอกสารประกอบการสอบทุกประการ รูปถ่ายขนาด 1 นิ้ว 1 รูป สำหรับติดบัตรประจำตัวผู้เข้าสอบ และเงินค่าสมัครสอบ เตรียมข้อมูลส่วนตัวให้ครบถ้วน เช่น ที่อยู่ปัจจุบัน หมายเลขโทรศัพท์ และอีเมลที่ใช้งานได้

2. ขั้นตอนที่ 2: ช่องทางการจองวันสอบ (โทรศัพท์/Walk-in) และข้อดีข้อเสีย

การสมัครผ่านโทรศัพท์โดยติดต่อ 02-260-7061 และ 02-259-3990 วันจันทร์-ศุกร์ เวลา 08:30-16:30 น. มีข้อดีคือสะดวก รวดเร็ว และได้คำแนะนำจากเจ้าหน้าที่ แต่อาจติดต่อไม่ได้ในช่วงที่มีผู้สมัครเยอะ การสมัครแบบ Walk-in ที่สำนักงาน ETS ตึกจัสมิน กรุงเทพฯ มีข้อดีคือได้รับคำปรึกษาโดยตรง เห็นตัวอย่างข้อสอบ และมั่นใจว่าขั้นตอนการสมัครสมบูรณ์ แต่ต้องเสียเวลาเดินทาง

3. ขั้นตอนที่ 3: ค่าใช้จ่ายในการสอบ TOEIC และค่าธรรมเนียมอื่นๆ ที่ควรรู้

ค่าสมัครสอบ TOEIC Listening & Reading มี 2 อัตรา ได้แก่ บุคคลทั่วไป (Personal) 1,800 บาท และผู้สอบในนามสถาบันการศึกษา 1,200 บาท การสั่งซื้อใบรับรองผลเพิ่มเติมชุดละ 100 บาท การขอเปลี่ยนวันสอบ 500 บาท (ต้องแจ้งล่วงหน้าอย่างน้อย 3 วันทำการ) การขอยกเลิกการสอบภายใน 7 วันจะได้เงินคืน 50% และหากสูญหายใบรับรองผล สามารถขอใบแทนได้ในราคา 500 บาท

4. ขั้นตอนที่ 4: วันสอบจริง – ข้อควรปฏิบัติ, ข้อห้าม และสิ่งที่ต้องนำไป

มาถึงสนามสอบอย่างน้อย 30 นาที ก่อนเวลาสอบ นำบัตรประชาชนหรือหนังสือเดินทาง ดินสอ HB 2-3 แท่งเพื่อลงคำตอบในกระดาษคำตอบ ยางลบสีขาว และนาฬิกาข้อมือธรรมดา ห้ามนำโทรศัพท์มือถือ เครื่องคิดเลข นาฬิกาอัจฉริยะ หูฟัง หรือเครื่องมือช่วยใดๆ เข้าห้องสอบ แต่งกายสุภาพ ไม่ใส่หมวกหรือแว่นกันแดด และต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบอย่างเคร่งครัด

VI. ไขข้อข้องใจ: คำถามเชิงลึกเกี่ยวกับ TOEIC ที่คุณอาจไม่เคยรู้

1. TOEIC วัดแค่ ‘Business English’ จริงหรือ?

ความเข้าใจผิดที่พบบ่อยคือ TOEIC วัดเฉพาะ ‘Business English’ ที่เน้นศัพท์เทคนิคทางธุรกิจ ความจริงแล้ว TOEIC วัด ‘Workplace English’ ซึ่งหมายถึงภาษาอังกฤษที่ใช้ในการสื่อสารทั่วไปในสภาพแวดล้อมการทำงานสากล ข้อสอบครอบคลุมสถานการณ์ที่หลากหลาย เช่น การสั่งอาหาร การเดินทาง การซื้อของ การใช้บริการต่างๆ ที่พนักงานอาจพบในชีวิตจริง ดังนั้นแม้คุณจะไม่ได้ทำงานในสายธุรกิจโดยตรง ทักษะที่ได้จากการเตรียมสอบ TOEIC ก็นำไปใช้ประโยชน์ได้ในหลายสถานการณ์

2. TOEIC Listening & Reading ต่างจาก TOEIC Speaking & Writing อย่างไร และควรเลือกสอบแบบไหน?

TOEIC Listening & Reading เป็นข้อสอบที่นิยมในไทย เน้นทักษะรับสาร (Receptive Skills) ใช้เวลา 2 ชั่วโมง คะแนนเต็ม 990 และเป็นข้อสอบแบบ Multiple Choice ทั้งหมด เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการวัดความสามารถพื้นฐานในการเข้าใจภาษาอังกฤษ ส่วน TOEIC Speaking & Writing วัดทักษะสร้างสาร (Productive Skills) ใช้เวลารวม 1 ชั่วโมง 20 นาที คะแนนแต่ละทักษะ 200 และต้องตอบด้วยเสียงและการเขียนจริง หากงานของคุณต้องมีการนำเสนอหรือเขียนรายงานเป็นภาษาอังกฤษบ่อยๆ ควรสอบทั้งสองแบบ แต่หากเป็นการใช้งานทั่วไป การสอบ Listening & Reading ก็เพียงพอแล้ว

3. ทักษะภาษาอังกฤษด้านใดบ้าง (Receptive vs. Productive Skills) ที่ข้อสอบ TOEIC ให้ความสำคัญเป็นพิเศษ?

TOEIC Listening & Reading มุ่งเน้น Receptive Skills ซึ่งเป็นทักษะการรับสารที่ประกอบด้วยการฟังและการอ่าน ทักษะเหล่านี้เป็นรากฐานสำคัญของการสื่อสารเพราะก่อนที่จะพูดหรือเขียนได้ดี เราต้องเข้าใจสิ่งที่ได้ยินและอ่านเสียก่อน องค์กรส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับ Receptive Skills เป็นลำดับแรกเพราะพนักงานส่วนใหญ่ต้องเข้าใจอีเมล คู่มือการทำงาน การประชุม และคำสั่งจากผู้บังคับบัญชามากกว่าการต้องนำเสนอหรือเขียนรายงาน การพัฒนา Receptive Skills ที่แข็งแกร่งจะช่วยให้การเรียนรู้ Productive Skills ง่ายขึ้นในภายหลัง

4. จำเป็นต้องเรียนคอร์สติว TOEIC เพื่อให้ได้คะแนนสูงหรือไม่?

การตัดสินใจเรียนคอร์สติว TOEIC ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ ผู้เรียนที่มีวินัยสูง มีเวลาเรียนสม่ำเสมอ และสามารถหาแหล่งเรียนรู้ได้เอง อาจเรียนด้วยตนเองผ่านหหนังสือ แอป หรือเว็บไซต์ได้ ข้อดีคือประหยัดค่าใช้จ่ายและยืดหยุ่นเรื่องเวลา แต่ต้องใช้ความมุ่งมั่นสูงและอาจใช้เวลานานกว่า ส่วนผู้ที่ต้องการเทคนิคเร่งรัด มีปัญหาเรื่องแรงจูงใจ หรือต้องการคำแนะนำเฉพาะบุคคล การเรียนคอร์สติวจะเหมาะสมกว่า โดยเฉพาะคอร์สที่มีการวิเคราะห์จุดอ่อนและปรับแผนการเรียนตามความต้องการของแต่ละคน

หลังจากทำความเข้าใจ TOEIC คืออะไร และรายละเอียดสำคัญทั้งหมดแล้ว คุณพร้อมที่จะเริ่มต้นเส้นทางสู่คะแนน TOEIC ที่ต้องการแล้ว การลงทุนเวลาและพลังงานในการเตรียมสอบ TOEIC ไม่ใช่แค่การสอบผ่าน แต่เป็นการสร้างรากฐานทักษะภาษาอังกฤษที่จะใช้ได้ตลอดชีวิตการทำงาน การ ทดสอบ TOEIC จึงไม่ใช่แค่ข้อสอบ แต่เป็นการลงทุนในอนาคตของคุณ เริ่มต้นวางแผนการเตรียมตัวตั้งแต่วันนี้ และมั่นใจว่าทุกความพยายามจะส่งผลให้คุณก้าวไปสู่เป้าหมายในอาชีพที่ใฝ่ฝันได้สำเร็จ

สารบัญ [hide]

รายการบทความ

บางทีคุณอาจสนใจ

โพสต์ใหม่

ตารางสอบ TOEIC 2568 (2025) อัปเดตล่าสุด: สมัครสอบ, ค่าสอบ, ศูนย์สอบ ครบจบในที่เดียว

ตาราง สอบ TOEIC ไม่เหมือนข้อสอบอื่นที่มีวันสอบตายตัว แต่เป็นระบบการจองสอบตามความต้องการของผู้สอบ ทำให้มีความยืดหยุ่นในการเลือกวันสอบมากขึ้น อย่างไรก็ตาม...

วิธีสมัครสอบ TOEIC ทำตามได้ทุกขั้นตอน พร้อมเคล็ดลับสู่คะแนนเป้าหมาย (อัปเดต 2568)

ในโลกยุคปัจจุบัน คะแนน TOEIC เปรียบเสมือนกุญแจสำคัญที่เปิดประตูสู่โอกาสใหม่ๆ ทั้งในด้านการทำงาน การศึกษาต่อ และการเลื่อนตำแหน่ง...

ทุกคำตอบเรื่องสนามสอบ TOEIC: จากการค้นหา สู่การเตรียมตัวเข้าห้องสอบ

การค้นหาสนาม สอบ TOEICที่เหมาะสมเป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญสำหรับผู้ที่ต้องการพิสูจน์ความสามารถภาษาอังกฤษ ไม่ว่าจะเพื่อการสมัครงาน การเรียนต่อ หรือการเลื่อนตำแหน่ง TOEIC...