Part of Speech คืออะไร และทำไมจึงเป็นหัวใจสำคัญของการเรียนภาษาอังกฤษ? หากคุณกำลังมองหาคำตอบที่ครบถ้วนและเข้าใจง่าย บทความนี้จะพาคุณเจาะลึก ทั้ง 9 ชนิดของ Part of Speech พร้อมตัวอย่างประโยคจริง เทคนิคการจำแนก และแบบฝึกหัดที่จะช่วยให้คุณเชี่ยวชาญไวยากรณ์อังกฤษอย่างมั่นใจ ตั้งแต่ระดับพื้นฐานไปจนถึงขั้นสูงในเวลาอันสั้น
I. Part of Speech คืออะไร?
Part of speech คืออะไร คือการแบ่งชนิดของคำในภาษาอังกฤษตามหน้าที่และการใช้งานในประโยค ซึ่งเป็นระบบการจำแนกคำศัพท์ที่ช่วยให้เราเข้าใจโครงสร้างภาษาอังกฤษได้อย่างเป็นระบบ การเรียนรู้เรื่องนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษในทุกด้าน
การเข้าใจ part of speech คือ รากฐานสำคัญที่จะช่วยให้คุณสร้างประโยคที่ถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ ช่วยในการอ่านและเข้าใจข้อความที่ซับซ้อน เป็นพื้นฐานสำหรับการเรียนรู้ไวยากรณ์ขั้นสูงเช่น tenses และ sentence structure รวมถึงช่วยในการทำข้อสอบมาตรฐานเช่น TOEIC และ IELTS ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
II. เจาะลึก Part of Speech ทั้ง 9 ชนิด: หน้าที่, ตำแหน่ง และประเภทย่อยเชิงลึก
1. Noun (คำนาม) – ตัวตนของสิ่งต่างๆ ในประโยค
คำนามคือคำที่ใช้เรียกชื่อบุคคล สัตว์ สิ่งของ สถานที่ แนวคิด หรือสิ่งที่มีตัวตนและไม่มีตัวตน ในประโยคภาษาอังกฤษ คำนามมักจะทำหน้าที่เป็นประธาน (subject) หรือกรรม (object) และปรากฏในตำแหน่งต่างๆ ขึ้นอยู่กับโครงสร้างประโยค
การจำแนกประเภทย่อย:
- Common Noun (คำนามทั่วไป): teacher, book, happiness
- Proper Noun (คำนามเฉพาะ): Bangkok, Monday, Samsung
- Countable Noun (คำนามนับได้): apple, student, chair
- Uncountable Noun (คำนามนับไม่ได้): water, information, music
ตัวอย่างประโยค:
- “My teacher gives us homework every day” (อาจารย์ของฉันให้การบ้านเราทุกวัน)
- “The students are studying English in the library” (นักเรียนกำลังเรียนภาษาอังกฤษในห้องสมุด)
ข้อควรระวัง: คำนามนับไม่ได้จะไม่สามารถเติม -s หรือ -es เพื่อทำเป็นพหูพจน์ได้ และต้องใช้ quantifiers เช่น much, little, some เมื่อต้องการบอกปริมาณ
2. Pronoun (คำสรรพนาม) – ตัวแทนที่ช่วยลดความซ้ำซาก
คำสรรพนามทำหน้าที่แทนคำนามเพื่อหลีกเลี่ยงการใช้คำนามซ้ำๆ ในประโยคเดียวกันหรือประโยคที่ต่อเนื่องกัน ซึ่งจะทำให้การสื่อสารราบรื่นและไม่น่าเบื่อ คำสรรพนามจะปรากฏในตำแหน่งเดียวกับคำนามที่มันแทน
ประเภทหลักของคำสรรพนามมี:
- Personal Pronoun (คำสรรพนามบุรุษ): I, you, he, she, it, we, they
- Possessive Pronoun (คำสรรพนามแสดงความเป็นเจ้าของ): mine, yours, his, hers, ours, theirs
- Demonstrative Pronoun (คำสรรพนามชี้เฉพาะ): this, that, these, those
- Relative Pronoun (คำสรรพนามเชื่อม): who, which, that
ตัวอย่างประโยค:
- “John is a good student. He always does his homework” (จอห์นเป็นนักเรียนที่ดี เขาทำการบ้านเสมอ)
- “This is my book, and that is yours” (นี่เป็นหนังสือของฉัน และนั่นเป็นของคุณ)
ข้อควรระวัง: คำสรรพนามต้องสอดคล้องกับคำนามที่แทนทั้งในด้านเพศ จำนวน และบุรุษ
3. Verb (คำกริยา) – แกนหลักที่ขับเคลื่อนประโยค
คำกริยาเป็นหัวใจสำคัญของประโยคที่แสดงการกระทำ สภาวะ หรือการดำรงอยู่ของประธาน ทุกประโยคที่สมบูรณ์ต้องมีคำกริยาเสมอ และคำกริยาจะกำหนดเวลาและรูปแบบของเหตุการณ์ในประโยค
คำกริยาแบ่งเป็น:
- Action Verb (คำกริยาแสดงการกระทำ): run, write, eat, think
- Linking Verb (คำกริยาเชื่อม): am, is, are, become, seem
- Helping/Auxiliary Verb (คำกริยาช่วย): will, have, do, can, must
- Modal Verb (คำกริยาช่วยพิเศษ): should, would, might, could
ตัวอย่างประโยค:
- “She runs every morning” (เธอวิ่งทุกเช้า)
- “The weather is nice today” (อากาศดีวันนี้)
- “I have finished my work” (ฉันทำงานเสร็จแล้ว)
- “You should study harder” (คุณควรเรียนหนักกว่านี้)
ข้อควรระวัง: คำกริยาสามารถเปลี่ยนรูปตาม tense, voice, และ mood ได้
4. Adjective (คำคุณศัพท์) – ผู้เพิ่มสีสันให้คำนาม
คำคุณศัพท์ทำหน้าที่ขยายหรือบรรยายคำนามและคำสรรพนาม เพื่อให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับคุณสมบัติ ลักษณะ สี ขนาด หรือจำนวน คำคุณศัพท์จะปรากฏหน้าคำนามหรือหลัง linking verb
ประเภทของคำคุณศัพท์มี:
- Descriptive Adjective (บรรยายลักษณะ): beautiful, tall, intelligent
- Quantitative Adjective (บอกจำนวน): many, few, several
- Demonstrative Adjective (ชี้เฉพาะ): this, that, those
- Possessive Adjective (แสดงความเป็นเจ้าของ): my, your, his, her
ตัวอย่างประโยค:
- “The beautiful girl is reading a thick book” (หญิงสาวสวยกำลังอ่านหนังสือหนา)
- “Many students like this teacher” (นักเรียนหลายคนชอบอาจารย์คนนี้)
ข้อควรระวัง: คำคุณศัพท์ในภาษาอังกฤษจะไม่เปลี่ยนรูปตามเพศหรือจำนวนของคำนาม
5. Adverb (คำกริยาวิเศษณ์) – ผู้ปรับแต่งความหมาย
คำกริยาวิเศษณ์ขยายและปรับแต่งความหมายของคำกริยา คำคุณศัพท์ หรือคำกริยาวิเศษณ์อื่น โดยให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับลักษณะ เวลา สถานที่ ระดับ หรือความถี่ของการกระทำ
คำกริยาวิเศษณ์แบ่งตามหน้าที่เป็น:
- Adverb of Manner (วิธีการ): quickly, carefully, beautifully
- Adverb of Time (เวลา): yesterday, now, always
- Adverb of Place (สถานที่): here, there, everywhere
- Adverb of Degree (ระดับ): very, quite, extremely
ตัวอย่างประโยค:
- “She speaks fluently” (เธอพูดอย่างคล่องแคล่ว)
- “He always arrives early” (เขามาถึงเร็วเสมอ)
- “The test was very difficult” (การสอบยากมาก)
เคล็ดลับสำคัญคือคำกริยาวิเศษณ์หลายคำสร้างมาจากคำคุณศัพท์โดยเติม -ly เช่น quick → quickly, careful → carefully แต่มีข้อยกเว้นที่ต้องจำเป็นพิเศษ
6. Preposition (คำบุพบท) – สะพานเชื่อมความสัมพันธ์
คำบุพบทแสดงความสัมพันธ์ระหว่างคำนามหรือคำสรรพนามกับคำอื่นในประโยค โดยเฉพาะด้านตำแหน่ง เวลา ทิศทาง หรือลักษณะต่างๆ คำบุพบทจะอยู่หน้าคำนามหรือคำสรรพนามเสมอ
ประเภทหลักของคำบุพบทได้แก่:
- Preposition of Place (สถานที่): in, on, at, under, between
- Preposition of Time (เวลา): before, after, during, since
- Preposition of Direction (ทิศทาง): to, from, through, toward
- Preposition of Manner (วิธีการ): by, with, without
ตัวอย่างประโยค:
- “The book is on the table” (หนังสืออยู่บนโต๊ะ)
- “We will meet at 3 o’clock” (เราจะพบกันตอนบ่ายสามโมง)
- “She went to school by bus” (เธอไปโรงเรียนโดยรถเมล์)
การใช้คำบุพบทถูกต้องต้องอาศัยการจำและฝึกฝน เพราะไม่มีกฎเกณฑ์ที่ตายตัว และความหมายอาจเปลี่ยนไปตามบริบทการใช้งาน
7. Conjunction (คำสันธาน) – ผู้เชื่อมประสานความคิด
คำสันธานทำหน้าที่เชื่อมคำ วลี หรือประโยคเข้าด้วยกัน เพื่อสร้างความต่อเนื่องและความเชื่อมโยงทางความหมาย ทำให้การสื่อสารมีความซับซ้อนและสมบูรณ์มากขึ้น
ประเภทของคำสันธานมี:
- Coordinating Conjunction (เชื่อมเท่าเทียม): and, but, or, so, yet
- Subordinating Conjunction (เชื่อมไม่เท่าเทียม): because, although, when, if, while
- Correlative Conjunction (เชื่อมคู่): either…or, neither…nor, both…and
ตัวอย่างประโยค:
- “I like tea and coffee” (ฉันชอบทั้งชาและกาแฟ)
- “She studied hard because she wanted to pass the exam” (เธอเรียนหนักเพราะต้องการสอบผ่าน)
- “Either you come or I will go” (ไม่ก็คุณมาไม่ก็ฉันไป)
การเลือกใช้คำสันธานที่เหมาะสมจะช่วยให้การเขียนและการพูดมีความชัดเจน มีโครงสร้าง และแสดงความสัมพันธ์ระหว่างแนวคิดได้อย่างแม่นยำ
8. Interjection (คำอุทาน) – เสียงแห่งอารมณ์และความรู้สึก
คำอุทานแสดงอารมณ์ ความรู้สึก หรือปฏิกิริยาทันทีทันใดของผู้พูด โดยไม่มีความเชื่อมโยงทางไวยากรณ์กับส่วนอื่นของประโยค คำอุทานมักใช้ในการสนทนาเพื่อแสดงความเป็นธรรมชาติ
คำอุทานที่พบบ่อยมี:
- Oh (แสดงความประหลาดใจ)
- Wow (แสดงความทึ่ง)
- Alas (แสดงความเศร้า)
- Hurray (แสดงความดีใจ)
- Ouch (แสดงความเจ็บปวด)
- Hello/Goodbye (แสดงการทักทาย/ลาจาก)
ตัวอย่างประโยค:
- “Oh, I forgot my wallet!” (โอ้ ฉันลืมกระเป๋าเงิน!)
- “Wow, that’s amazing!” (ว้าว นั่นมันเจ๋งมาก!)
- “Alas, we lost the game” (อนิจจา เราแพ้เกม)
คำอุทานมักจะตามด้วยเครื่องหมายอัศเจรีย์ (!) และสามารถใช้เป็นประโยคเดี่ยวๆ ได้โดยไม่ต้องมีโครงสร้างไวยากรณ์ที่สมบูรณ์
9. Determiner (คำกำหนด) – ผู้นำหน้าและกำหนดขอบเขต
คำกำหนดเป็นหมวดคำที่แยกออกมาจากคำคุณศัพท์ในสมัยใหม่ เพื่อความแม่นยำทางไวยากรณ์ ทำหน้าที่นำหน้าคำนามเพื่อกำหนดขอบเขต ความเฉพาะเจาะจง หรือปริมาณของสิ่งที่กล่าวถึง
ประเภทของคำกำหนดมี:
- Article (คำกำหนดหลัก): a, an, the
- Quantifier (คำบอกปริมาณ): some, many, few, all, every
- Possessive Determiner (แสดงความเป็นเจ้าของ): my, your, his, her
- Demonstrative Determiner (ชี้เฉพาะ): this, that, these, those
ตัวอย่างประโยค:
- “The student read a book” (นักเรียนคนนั้นอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง)
- “Some people like this kind of music” (บางคนชอบเพลงประเภทนี้)
- “All students must bring their ID cards” (นักเรียนทุกคนต้องนำบัตรประจำตัวมา)
ความสำคัญของคำกำหนดคือช่วยให้ผู้ฟังเข้าใจว่าเราพูดถึงสิ่งใดโดยเฉพาะหรือทั่วไป และมีปริมาณเท่าใด ซึ่งจะทำให้การสื่อสารชัดเจนและแม่นยำยิ่งขึ้น
III. คำถามที่พบบ่อย (FAQs) และข้อสงสัยเชิงลึกเกี่ยวกับ Part of Speech
1. Determiner แตกต่างจาก Adjective อย่างไร และทำไมถึงแยกออกมา?
Determiner คือคำที่นำหน้าคำนามเพื่อกำหนดขอบเขตหรือความเฉพาะเจาะจง ในขณะที่ Adjective ทำหน้าที่บรรยายคุณสมบัติของคำนาม ความแตกต่างหลักคือ Determiner ต้องมาก่อน Adjective เสมอ และไม่สามารถใช้โดยลำพังหลัง linking verb ได้ เช่น “The beautiful flower” ซึ่ง the เป็น Determiner และ beautiful เป็น Adjective การแยกประเภทนี้ทำให้การวิเคราะห์ไวยากรณ์แม่นยำและสอดคล้องกับหลักภาษาศาสตร์สมัยใหม่
2. คำที่ทำหน้าที่ขยาย (Modifier) มีอะไรบ้าง และเกี่ยวข้องกันอย่างไร?
คำที่ทำหน้าที่ขยายหลักในภาษาอังกฤษคือ Adjective และ Adverb โดย Adjective ขยายคำนามและคำสรรพนาม ส่วน Adverb ขยายคำกริยา คำคุณศัพท์ และคำกริยาวิเศษณ์อื่น ความเชื่อมโยงระหว่างทั้งสองคือสามารถแปลงกันได้โดยการเติมหรือตัด -ly เช่น quick (adjective) → quickly (adverb) การเข้าใจความสัมพันธ์นี้จะช่วยในการใช้คำขยายอย่างถูกต้องและเหมาะสม
3. Part of Speech ในภาษาอังกฤษเปรียบเทียบกับภาษาไทยได้อย่างไร?
ภาษาไทยไม่มีระบบ Part of Speech ที่เด็ดขาดเหมือนภาษาอังกฤษ เพราะคำในภาษาไทยสามารถเปลี่ยนหน้าที่ได้ง่ายกว่าโดยไม่ต้องเปลี่ยนรูป เช่น คำว่า “วิ่ง” สามารถเป็นได้ทั้งคำกริยา (“เขาวิ่งเร็ว”) และคำนาม (“การวิ่งเป็นการออกกำลังกาย”) ในขณะที่ภาษาอังกฤษมักต้องเปลี่ยนรูปคำหรือใช้คำต่างกัน เช่น run (verb) และ running (noun) ความเข้าใจความแตกต่างนี้จะช่วยให้ผู้เรียนปรับความคิดและเข้าใจโครงสร้างภาษาอังกฤษได้ดีขึ้น
4. ประโยคภาษาอังกฤษจะขาด Verb ได้หรือไม่?
ประโยคที่สมบูรณ์ในภาษาอังกฤษต้องมี Verb เสมอ แม้ในกรณีที่ดูเหมือนไม่มี เช่น “How nice!” ก็ยังมี verb ที่ถูกละไว้ คือ “How nice (it is)!” การมี verb เป็นกฎเหล็กของภาษาอังกฤษที่แตกต่างจากภาษาไทยซึ่งสามารถมีประโยคโดยไม่มีกริยาได้ เช่น “สวยจัง!” เหตุผลคือภาษาอังกฤษต้องการโครงสร้างไวยากรณ์ที่ชัดเจนและเป็นระบบมากกว่า
การเข้าใจ part of speech คืออะไร และการรู้จัก part of speech มีอะไรบ้าง ทั้ง 9 ชนิดเป็นรากฐานสำคัญที่จะช่วยให้คุณพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษในทุกด้านอย่างเป็นระบบ ตั้งแต่การสร้างประโยคที่ถูกต้อง การอ่านเข้าใจ การเขียนที่มีประสิทธิภาพ ไปจนถึงการสอบ TOEIC และ IELTS ที่ต้องการความแม่นยำทางไวยากรณ์ ความรู้นี้จะช่วยให้คุณมีพื้นฐานที่มั่นคงสำหรับการเรียนรู้หัวข้อขั้นสูงต่อไป
ขั้นตอนถัดไปคือการนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตจริงโดยการสังเกตและวิเคราะห์ Part of Speech ขณะอ่านข่าว บทความ หรือสื่อภาษาอังกฤษต่างๆ การใช้ความรู้นี้ตรวจสอบความถูกต้องของงานเขียนของตัวเอง และการศึกษาหัวข้อไวยากรณ์ขั้นสูงเช่น Tenses Complex Sentences และ Passive Voice ที่ต้องการพื้นฐาน Part of Speech ที่แข็งแกร่ง เพื่อให้การเรียนรู้ภาษาอังกฤษเป็นไปอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพสูงสุด