คุณเคยสับสนระหว่าง This กับ That หรือ These กับ Those บ้างไหม? Demonstrative Pronouns คือสรรพนามชี้เฉพาะที่ใช้บ่อยที่สุดในภาษาอังกฤษ แต่หลายคนยังใช้ผิดอยู่เสมอ บทความนี้จะพาคุณเข้าใจความแตกต่างของทั้ง 4 คำผ่านกฎง่ายๆ เพียง 2 ข้อ พร้อมตัวอย่างประโยคที่นำไปใช้ได้จริง รับรองว่าอ่านจบแล้วคุณจะใช้ demonstrative pronouns ได้อย่างมั่นใจและถูกต้อง 100%
I. Demonstrative Pronouns คืออะไร?
1. คำจำกัดความ: สรรพนาม “ชี้นิ้ว”
Demonstrative pronouns คือสรรพนามที่ทำหน้าที่เหมือนการชี้นิ้วไปยังสิ่งที่เราต้องการพูดถึง โดยไม่ต้องเอ่ยชื่อหรือคำนามซ้ำอีก มันช่วยให้การสื่อสารมีความชัดเจนและรัดกุมมากขึ้น เมื่อเราบอกว่า “นี่คือหนังสือของฉัน” เราไม่ต้องพูดว่า “หนังสือเล่มนี้คือหนังสือของฉัน” ซึ่งฟังซ้ำซ้อนและไม่เป็นธรรมชาติ ในภาษาอังกฤษ demonstrative pronouns คือคำสรรพนามที่ใช้ชี้เฉพาะเจาะจงไปยังบุคคล สัตว์ หรือสิ่งของที่เราต้องการอ้างถึง
2. 4 คำหลักที่ต้องรู้
ภาษาอังกฤษมี demonstrative pronouns หลัก 4 คำที่คุณต้องเข้าใจอย่างถ่องแท้ คำแรกคือ This แปลว่า “นี่” หรือ “สิ่งนี้” ใช้กับสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวผู้พูดและเป็นจำนวนเอกพจน์
- คำที่สองคือ That แปลว่า “นั่น” หรือ “สิ่งนั้น” ใช้กับสิ่งที่อยู่ไกลจากตัวผู้พูดและเป็นจำนวนเอกพจน์เช่นกัน
- คำที่สามคือ These แปลว่า “เหล่านี้” ใช้กับสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวและเป็นจำนวนพหูพจน์
- และคำสุดท้ายคือ Those แปลว่า “เหล่านั้น” ใช้กับสิ่งที่อยู่ไกลตัวและเป็นจำนวนพหูพจน์
II. หลักการ 2 ข้อในการใช้ Demonstrative Pronouns
1. แกนที่ 1: ระยะทาง (Proximity)
หลักการแรกที่คุณต้องเข้าใจคือเรื่องระยะห่างระหว่างตัวผู้พูดกับสิ่งที่กำลังพูดถึง เราแบ่งเป็น 2 ระดับคือ “ใกล้” (Near) และ “ไกล” (Far) โดยใช้ตำแหน่งของผู้พูดเป็นจุดอ้างอิง เมื่อสิ่งนั้นอยู่ในมือเรา อยู่ข้างๆ เรา หรืออยู่ในระยะที่แตะต้องได้ง่าย เราจะใช้ This หรือ These ตัวอย่างเช่น “This is my pen” หมายถึงปากกาที่เราถืออยู่ในมือหรืออยู่บนโต๊ะตรงหน้าเรา ในทางกลับกัน เมื่อสิ่งนั้นอยู่ห่างออกไป อยู่อีกฟากห้อง หรืออยู่ในระยะที่เราต้องเดินไปหยิบ เราจะใช้ That หรือ Those เช่น “That is your car” หมายถึงรถที่จอดอยู่อีกฝั่งถนนหรืออยู่ในที่จอดรถไกลออกไป
2. แกนที่ 2: จำนวน (Number)
หลักการที่สองคือเรื่องจำนวนของสิ่งที่เรากำลังชี้ถึง โดยแบ่งเป็น “เอกพจน์” (Singular) หมายถึงสิ่งเดียวหรือหนึ่งสิ่ง และ “พหูพจน์” (Plural) หมายถึงหลายสิ่ง เมื่อเราพูดถึงสิ่งเดียว เราใช้ This หรือ That ส่วนเมื่อพูดถึงหลายสิ่ง เราใช้ These หรือ Those สิ่งที่หลายคนมองข้ามคือ This และ That ยังใช้กับคำนามนับไม่ได้ด้วย เพราะคำนามนับไม่ได้ถือว่าเป็นเอกพจน์เสมอ ตัวอย่างเช่น “This water is cold” น้ำเป็นคำนามนับไม่ได้ แต่เราใช้ This ได้ เพราะถือว่าเป็นสิ่งเดียว
3. ตารางสรุป 4 ช่องช่วยจำ
| ระยะทาง / จำนวน | เอกพจน์ (Singular) | พหูพจน์ (Plural) |
| ใกล้ (Near) | This (นี่) | These (เหล่านี้) |
| ไกล (Far) | That (นั่น) | Those (เหล่านั้น) |
ตารางนี้จะช่วยให้คุณจำและเลือกใช้คำได้อย่างรวดเร็วและถูกต้อง เพียงแค่พิจารณา 2 ปัจจัย คือระยะทางและจำนวน แล้วคุณจะสามารถหาคำที่เหมาะสมได้ทันที
III. วิธีใช้ This, That, These, Those อย่างละเอียด
1. การใช้ This และ These
This ใช้เมื่อเราต้องการชี้ไปยังสิ่งเดียวที่อยู่ใกล้ตัว เช่น “This tastes delicious” หมายถึงอาหารที่เรากำลังชิมอยู่ตอนนี้มีรสชาติอร่อย หรือ “This is my best friend, Sarah” ใช้ในการแนะนำเพื่อนที่ยืนอยู่ข้างๆ เรา เมื่อเราพูดว่า “This costs 500 baht” เราหมายถึงสินค้าที่เราถืออยู่ในมือหรือชี้ไปที่สินค้านั้นโดยตรง
ส่วน These ใช้กับหลายสิ่งที่อยู่ใกล้ตัว เช่น “These are my favorite books” หมายถึงหนังสือหลายเล่มที่วางอยู่บนโต๊ะตรงหน้าเรา หรือ “These shoes fit perfectly” หมายถึงรองเท้าคู่ที่เรากำลังสวมอยู่ในขณะนั้น การใช้ This และ These จึงสื่อถึงความใกล้ชิดและความเป็นปัจจุบันของสิ่งที่เรากำลังพูดถึง

2. การใช้ That และ Those
That ใช้กับสิ่งเดียวที่อยู่ห่างจากเรา ไม่ว่าจะเป็นระยะทางทางกายภาพหรือระยะห่างทางเวลา เมื่อเราพูดว่า “That looks expensive” เรากำลังพูดถึงสินค้าที่อยู่ในตู้โชว์อีกฟากห้อง หรือ “Do you remember that day?” เราหมายถึงวันหนึ่งในอดีตที่ผ่านไปแล้ว ประโยค “That was an amazing concert” พูดถึงคอนเสิร์ตที่จบไปแล้วและอยู่ห่างจากเราในมิติของเวลา
ส่วน Those ใช้กับหลายสิ่งที่อยู่ห่างออกไป เช่น “Those buildings are very tall” หมายถึงอาคารหลายหลังที่อยู่ไกลออกไป หรือ “Those were the best years of my life” พูดถึงหลายปีในอดีตที่ผ่านไปแล้ว การใช้ That และ Those จึงสร้างระยะห่างทั้งในเชิงกายภาพและจิตใจ
IV. จุดที่สับสนที่สุด: Pronoun vs. Adjective
1. ความแตกต่างในหน้าที่
นี่คือส่วนที่สำคัญที่สุดและเป็นจุดที่ผู้เรียนสับสนมากที่สุด คำว่า This, That, These, และ Those สามารถทำหน้าที่ได้ 2 แบบ ขึ้นอยู่กับตำแหน่งในประโยค เมื่อทำหน้าที่เป็น Demonstrative Pronoun คำเหล่านี้จะมาเดี่ยวๆ และทำหน้าที่แทนคำนาม ไม่มีคำนามตามหลัง แต่เมื่อทำหน้าที่เป็น Demonstrative Adjective คำเหล่านี้จะต้องมีคำนามตามหลังเสมอ เพื่อขยายหรือบอกรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับคำนามนั้น สูตรช่วยจำคือ Pronoun มาโดดเดี่ยวและตามด้วยกริยา เช่น “This is beautiful” ส่วน Adjective มาพร้อมคำนาม เช่น “This painting is beautiful” ถ้าคุณเห็นคำนามตามหลัง แสดงว่ามันไม่ใช่ pronoun แต่เป็น adjective ที่ทำหน้าที่ขยายคำนามนั้น
2. ตารางเปรียบเทียบประโยคต่อประโยค
| หน้าที่ | โครงสร้าง | ประโยคตัวอย่าง | ความหมาย |
| Pronoun | This + Verb | This is expensive. | นี่แพง (ชี้ไปที่สิ่งของโดยไม่บอกว่าเป็นอะไร) |
| Adjective | This + Noun + Verb | This bag is expensive. | กระเป๋าใบนี้แพง (ระบุชัดว่าเป็นกระเป๋า) |
| Pronoun | Those + Verb | Those belong to me. | เหล่านั้นเป็นของฉัน |
| Adjective | Those + Noun + Verb | Those books belong to me. | หนังสือเหล่านั้นเป็นของฉัน |
| Pronoun | That + Verb | That sounds interesting. | นั่นฟังดูน่าสนใจ (อาจหมายถึงความคิดหรือเรื่องราว) |
| Adjective | That + Noun + Verb | That idea sounds interesting. | ไอเดียนั้นฟังดูน่าสนใจ |
การเปรียบเทียบแบบประโยคต่อประโยคนี้จะช่วยให้คุณเห็นความแตกต่างได้อย่างชัดเจนว่าโครงสร้างเปลี่ยนไปอย่างไร และความหมายก็เปลี่ยนตามไปด้วย
V. คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
1. ต่างจาก “นี่, นั่น, โน่น” ของไทยอย่างไร?
ภาษาไทยมีระบบชี้บอก 3 ระดับ คือ “นี่” (ใกล้ผู้พูด), “นั่น” (ใกล้ผู้ฟัง หรือระดับกลาง), และ “โน่น” (ไกลทั้งผู้พูดและผู้ฟัง) แต่ภาษาอังกฤษมีเพียง 2 ระดับคือ “ใกล้” (This/These) และ “ไกล” (That/Those) ดังนั้น “นั่น” และ “โน่น” ในภาษาไทยจะแปลเป็นภาษาอังกฤษคำเดียวคือ “That” หรือ “Those” ทั้งคู่ ผู้เรียนชาวไทยจึงต้องปรับความคิดให้เข้าใจว่าภาษาอังกฤษไม่แบ่งระดับความไกลอย่างละเอียดเหมือนภาษาไทย แค่แบ่งเป็น “ใกล้ตัว” กับ “ไม่ใกล้ตัว” เท่านั้น
2. This/That มีผลต่ออารมณ์หรือไม่?
การเลือกใช้ This หรือ That สามารถสื่อถึงความรู้สึกหรือทัศนคติของผู้พูดได้ การใช้ This มักสร้างความรู้สึกใกล้ชิด เป็นกันเอง และแสดงความสนใจหรือความเห็นด้วย เช่น “This is a brilliant idea” ฟังดูกระตือรือร้นและให้การสนับสนุน ในขณะที่ That สร้างระยะห่างทางอารมณ์ มักใช้เมื่อเราต้องการแสดงความไม่เห็นด้วยหรือแยกตัวออกจากสิ่งนั้น เช่น “That is not my problem” ฟังดูเย็นชาและแสดงการปฏิเสธความรับผิดชอบ การตระหนักถึงนัยยะทางอารมณ์นี้จะช่วยให้คุณเลือกใช้คำได้เหมาะสมกับบริบทและน้ำเสียงที่ต้องการสื่อ
3. ใช้โดยไม่มีคำนามตามหลังได้เสมอใช่ไหม?
ใช่ นั่นคือหน้าที่หลักของ demonstrative pronouns เมื่อทำหน้าที่เป็น pronoun คำเหล่านี้สามารถมาเดี่ยวๆ และไม่จำเป็นต้องมีคำนามตามหลัง เพราะมันทำหน้าที่แทนคำนามอยู่แล้ว เช่น “This is mine” หรือ “Those are beautiful” อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณเห็นคำนามตามหลัง แสดงว่าคำนั้นกำลังทำหน้าที่เป็น demonstrative adjective แทน ไม่ใช่ pronoun อีกต่อไป เช่น “This book is mine” หรือ “Those flowers are beautiful” ดังนั้นการมีหรือไม่มีคำนามตามหลังจะเป็นตัวบอกว่าคำนั้นทำหน้าที่อะไร
การเชี่ยวชาญ demonstrative pronouns ขึ้นอยู่กับการเข้าใจ 3 หลักการสำคัญ หลักแรกคือกฎทอง 2 ข้อ ได้แก่ ระยะทาง (ใกล้ใช้ This/These ไกลใช้ That/Those) และจำนวน (เอกพจน์ใช้ This/That พหูพจน์ใช้ These/Those) หลักที่สองคือความแตกต่างระหว่าง Pronoun ที่มาเดี่ยวและทำหน้าที่แทนคำนาม กับ Adjective ที่ต้องมีคำนามตามหลังเสมอ และหลักที่สามคือการประยุกต์ใช้กับแนวคิดนามธรรม เวลา และบริบททางอารมณ์ เมื่อคุณเข้าใจทั้งสามหลักการนี้แล้ว คุณจะสามารถใช้ demonstrative pronouns ได้อย่างถูกต้อง แม่นยำ และมั่นใจในทุกสถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็นการสนทนาในชีวิตประจำวัน การเขียน หรือการสอบ TOEIC
