TOEIC GrammarReported Speech คืออะไร? สรุปครบทุกกฎ ตัวอย่าง และแบบฝึกหัด (ฉบับสมบูรณ์)

Reported Speech คืออะไร? สรุปครบทุกกฎ ตัวอย่าง และแบบฝึกหัด (ฉบับสมบูรณ์)

Reported Speech คือ ทักษะไวยากรณ์ที่จำเป็นสำหรับการสื่อสารและการสอบภาษาอังกฤษทุกระดับ บทความนี้สรุปครบทั้ง 3 กฎเหล็กของการเปลี่ยนประโยค ตั้งแต่ Tense Backshift, Pronoun Shift ไปจนถึง Adverbial Shift พร้อมตัวอย่างประโยคที่เข้าใจง่าย แบบฝึกหัด 10 ข้อพร้อมเฉลยละเอียด และเคล็ดลับหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดที่พบบ่อย เพื่อให้คุณเชี่ยวชาญและนำไปใช้ได้อย่างมั่นใจในทุกสถานการณ์

I. เริ่มต้น: จาก “คำพูดตรง” สู่ “การเล่าเรื่อง”

ลองจินตนาการว่าเพื่อนของคุณบอกว่า “I’m going to the library” แล้วคุณต้องไปบอกเรื่องนี้ต่อให้คนอื่นฟัง คุณคงไม่ได้พูดว่า “He said ‘I’m going to the library'” แต่จะพูดว่า “He said he was going to the library” แทน นี่คือหัวใจสำคัญของ Reported Speech ที่เราใช้กันในชีวิตประจำวัน

Reported Speech คือ การรายงานหรือเล่าสิ่งที่คนอื่นพูดโดยไม่ใช้คำพูดตรงจากเจ้าของ ต่างจาก Direct Speech ที่ใส่เครื่องหมายคำพูด “…” และพูดตรงตามที่ผู้พูดเดิมพูดมา เช่น Direct Speech: She said, “I love this song” จะกลายเป็น Reported Speech: She said she loved that song ซึ่งเป็นการถ่ายทอดความหมายเดียวกันแต่ปรับรูปแบบให้เหมาะกับบริบทของการเล่า

การเรียนรู้ reported speech คือ ทักษะที่จำเป็นในหลายสถานการณ์ เพราะช่วยให้เราถ่ายทอดข้อมูลจากผู้อื่นได้อย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นการสื่อสารในชีวิตประจำวัน การเขียนรายงาน หรือการสอบภาษาอังกฤษระดับสูง นอกจากนี้ยังช่วยให้เราเข้าใจโครงสร้างประโยคที่ซับซ้อนและพัฒนาทักษะการฟังอีกด้วย

II. 3 หลักการแปลง Direct Speech เป็น Reported Speech

การเปลี่ยนจากคำพูดตรงเป็นการรายงานมีหลักการชัดเจนที่ต้องคำนึงถึง 3 ประเด็นหลัก ได้แก่ การเปลี่ยน Tense การปรับสรรพนาม และการเปลี่ยนคำที่บอกเวลาหรือสถานที่ ซึ่งแต่ละกฎมีรายละเอียดที่ควรเข้าใจอย่างถ่องแท้

1. กฎข้อที่ 1: Tense Backshift

เมื่อคำกริยานำที่ใช้รายงาน (เช่น said, told) อยู่ในรูป Past Tense เราต้องเลื่อน Tense ของประโยคที่รายงานย้อนกลับไปหนึ่งขั้น ซึ่งเป็นหลักการสำคัญที่สุดใน reported speech หลักการ ใช้ในทุกสถานการณ์

3 หลักการแปลง Direct Speech เป็น Reported Speech

ตารางสรุปการเปลี่ยน Tense

Tense เดิม (Direct Speech) Tense ใหม่ (Reported Speech) ตัวอย่างเปรียบเทียบ
Present Simple Past Simple “I work here” → He said he worked there
Present Continuous Past Continuous “I’m studying” → She said she was studying
Present Perfect Past Perfect “I’ve finished” → He said he had finished
Past Simple Past Perfect “I went home” → She said she had gone home
Will Would “I will help” → He said he would help
Can Could “I can swim” → She said she could swim
May Might “I may come” → He said he might come
Must Had to “I must go” → She said she had to go

ข้อยกเว้น

มีบางสถานการณ์ที่เราไม่จำเป็นต้องเปลี่ยน Tense เช่น เมื่อเนื้อหาที่รายงานเป็นความจริงที่ไม่เปลี่ยนแปลง (Universal Truth) อย่าง “The sun rises in the east” สามารถรายงานเป็น He said the sun rises in the east ได้ หรือเมื่อสิ่งที่พูดยังคงเป็นความจริงอยู่ในปัจจุบัน เช่น “I live in Bangkok” ถ้าคนนั้นยังอยู่ที่กรุงเทพฯ เราสามารถพูดว่า She said she lives in Bangkok ได้เช่นกัน

2. กฎข้อที่ 2: Pronoun Shift

สรรพนามต้องเปลี่ยนตามมุมมองของผู้รายงาน เพราะเราไม่ได้เป็นคนพูดเอง แต่เป็นคนเล่าต่อ ตัวอย่างเช่น He said, “I like your car” จะกลายเป็น He said he liked my car เพราะ I ของเขาคือ he สำหรับเรา และ your ที่เขาหมายถึงเราก็กลายเป็น my ในมุมมองของเราเอง หลักการนี้ใช้กับสรรพนามทุกประเภท ทั้ง Subject Pronouns, Object Pronouns และ Possessive Adjectives

3. กฎข้อที่ 3: Adverbial Shift

คำกริยาวิเศษณ์ที่บอกเวลาและสถานที่ต้องเปลี่ยนให้สอดคล้องกับบริบทของการรายงาน เพราะเวลาและสถานที่ในมุมมองของผู้พูดเดิมต่างจากมุมมองของผู้รายงาน

ตารางสรุปการเปลี่ยนคำ

คำใน Direct Speech คำใน Reported Speech
now then / at that time
today that day
tonight that night
yesterday the day before / the previous day
tomorrow the next day / the following day
last week the week before / the previous week
next month the following month
ago before
this that
these those
here there

III. วิธีรายงานประโยคแต่ละประเภท

เมื่อเข้าใจกฎพื้นฐานแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการนำไปใช้กับประโยคประเภทต่างๆ ที่พบในชีวิตจริง ซึ่งแต่ละประเภทมีโครงสร้างและข้อควรระวังที่แตกต่างกัน

1. การรายงานประโยคบอกเล่า

ประโยคบอกเล่าเป็นรูปแบบที่พบบ่อยที่สุดและใช้โครงสร้าง 

  • Subject + said (that) + reported clause 

หรือ 

  • Subject + told + Object + (that) + reported clause 

ข้อแตกต่างสำคัญคือ said ไม่ต้องตามด้วยกรรม แต่ told ต้องมีกรรมเสมอ เช่น She said she was tired (ไม่มีกรรม) แต่ She told me she was tired (มี me เป็นกรรม) การใช้ that หลัง said หรือ told เป็นทางเลือกที่สามารถละได้ในการพูด

2. การรายงานประโยคคำถาม

ประโยคคำถามมีสองรูปแบบหลักที่ต้องรายงานแตกต่างกัน

กรณี Yes/No Questions

ใช้โครงสร้าง ask + if/whether + Subject + Verb โดยไม่ต้องใส่เครื่องหมายคำถาม เช่น “Do you like pizza?” จะกลายเป็น He asked if I liked pizza หรือ “Can you help me?” จะเปลี่ยนเป็น She asked whether I could help her สังเกตว่าลำดับคำเปลี่ยนจากรูปคำถามเป็นรูปบอกเล่า

กรณี WH- Questions

ใช้โครงสร้าง ask + Wh-word + Subject + Verb โดยเก็บคำถาม (What, Where, When, Why, Who, How) ไว้ แต่เปลี่ยนลำดับคำเป็นแบบประโยคบอกเล่า เช่น “Where do you live?” กลายเป็น He asked where I lived หรือ “What time does the train leave?” เปลี่ยนเป็น She asked what time the train left สิ่งสำคัญคือต้องเอา do/does/did ออกและปรับกริยาให้ถูกต้อง

3. การรายงานประโยคคำสั่งและขอร้อง

ประโยคประเภทนี้ใช้โครงสร้างที่แตกต่างจากประโยคบอกเล่าและคำถาม

  • คำสั่ง (Command) ใช้โครงสร้าง tell/order/command + Object + to + Verb เช่น “Close the door” จะกลายเป็น He told me to close the door หรือ “Study harder” เปลี่ยนเป็น The teacher ordered us to study harder
  • คำสั่งห้าม (Negative Command) ใช้โครงสร้าง tell/order + Object + not to + Verb เช่น “Don’t be late” จะรายงานเป็น She told him not to be late หรือ “Don’t touch that” กลายเป็น He warned me not to touch that
  • ขอร้อง (Request) ใช้โครงสร้าง ask + Object + to + Verb เช่น “Please help me” จะเปลี่ยนเป็น She asked me to help her หรือ “Could you open the window?” กลายเป็น He asked me to open the window

IV. ขั้นสูง: การเลือกใช้ Reporting Verbs

การใช้ Reporting Verbs ที่หลากหลายแทน said หรือ told ช่วยให้การเขียนและการพูดมีความแม่นยำและน่าสนใจมากขึ้น

Reporting Verbs ที่เฉพาะเจาะจงช่วยถ่ายทอดอารมณ์และเจตนาของผู้พูดได้ดีกว่าการใช้ said เพียงอย่างเดียว เช่น แทนที่จะพูดว่า He said he would come สามารถใช้ He promised he would come เพื่อแสดงความมุ่งมั่นในคำพูด หรือใช้ She suggested going to the park แทน She said we should go to the park เพื่อให้ฟังดูเป็นธรรมชาติและกระชับขึ้น

ตัวอย่างและโครงสร้าง

  • กลุ่มให้คำแนะนำ ใช้โครงสร้าง Verb + Object + to + Verb เช่น advise, encourage, warn, remind ตัวอย่าง She advised me to see a doctor หรือ He reminded her to lock the door
  • กลุ่มเสนอแนะและยอมรับ บางคำใช้ Verb + Verb-ing เช่น suggest, recommend, deny, admit ตัวอย่าง He suggested taking a break หรือ She admitted making a mistake
  • กลุ่มสัญญาและปฏิเสธ ใช้โครงสร้าง Verb + to + Verb เช่น promise, agree, refuse, offer ตัวอย่าง They promised to help us หรือ He refused to answer
  • กลุ่มกล่าวหาและยืนยัน ใช้โครงสร้าง Verb + that + Clause เช่น claim, insist, complain, explain ตัวอย่าง She claimed that she was innocent หรือ He insisted that he was right

V. ฝึกฝนเพื่อความแม่นยำ: แบบฝึกหัดพร้อมเฉลย

การฝึกฝนเป็นกุญแจสำคัญในการเชี่ยวชาญ reported speech แบบฝึกหัด ชุดนี้ครอบคลุมทุกรูปแบบที่ได้เรียนมา

  1. แบบฝึกหัดที่1: เปลี่ยนประโยคต่อไปนี้เป็น Reported Speech
  1. “I am reading a book now,” she said.
  2. “We have finished our homework,” they told the teacher.
  3. “Where do you work?” he asked me.
  4. “Don’t touch the hot pan,” Mom warned us.
  5. “Can you lend me some money?” John asked Mary.
  6. “I will call you tomorrow,” he promised.
  7. “Turn off your phone during the exam,” the teacher ordered.
  8. “Did you see the movie last night?” she asked him.
  9. “I have never been to Japan,” Tom said.
  10. “Please help me with this problem,” she asked her friend.

เฉลยและคำอธิบาย

  1. She said she was reading a book then. (เปลี่ยน am → was, now → then ตามกฎ Tense Backshift และ Adverbial Shift)
  2. They told the teacher they had finished their homework. (เปลี่ยน have finished → had finished เพราะ Present Perfect กลายเป็น Past Perfect)
  3. He asked me where I worked. (เปลี่ยนจากคำถาม WH- โดยใช้ where + Subject + Verb และเอา do ออก พร้อมเปลี่ยน work → worked)
  4. Mom warned us not to touch the hot pan. (คำสั่งห้ามใช้ tell/warn + Object + not to + Verb)
  5. John asked Mary if she could lend him some money. (Yes/No question ใช้ if, เปลี่ยน Can → could, you → she, me → him)
  6. He promised he would call me the next day. (เปลี่ยน will → would, you → me, tomorrow → the next day และใช้ promised แทน said เพื่อความแม่นยำ)
  7. The teacher ordered us to turn off our phones during the exam. (คำสั่งใช้ order + Object + to + Verb, เปลี่ยน your → our)
  8. She asked him if he had seen the movie the night before. (Yes/No question ใช้ if, เปลี่ยน Did you see → had seen, last night → the night before)
  9. Tom said he had never been to Japan. (เปลี่ยน have never been → had never been ตามกฎ Present Perfect → Past Perfect)
  10. She asked her friend to help her with that problem. (คำขอร้องใช้ ask + Object + to + Verb, เปลี่ยน me → her, this → that)

VI. คำถามที่พบบ่อยและข้อควรระวัง

หลังจากเรียนรู้กฎและฝึกฝนมาแล้ว ยังมีประเด็นเฉพาะที่ผู้เรียนมักสงสัยและควรทำความเข้าใจเพิ่มเติม เพื่อให้สามารถใช้ reported speech ได้อย่างถูกต้องและเหมาะสมในทุกสถานการณ์

1. จริงหรือไม่? ที่ว่า Reported Speech ต้องเปลี่ยน Tense เสมอ

ไม่จริง การเปลี่ยน Tense ขึ้นอยู่กับบริบทและเวลาที่รายงาน ถ้าเนื้อหาที่รายงานยังคงเป็นความจริงในปัจจุบันหรือเป็นข้อเท็จจริงถาวร เราไม่จำเป็นต้องเปลี่ยน Tense เช่น He said Bangkok is the capital of Thailand (ไม่ต้องเปลี่ยนเป็น was เพราะกรุงเทพฯ ยังคงเป็นเมืองหลวงอยู่) หรือ She said she works at the hospital (ถ้าเธอยังทำงานที่โรงพยาบาลอยู่ สามารถใช้ works แทน worked ได้)

2. “Reporting Verb” คืออะไรและทำไมถึงสำคัญ

Reporting Verb คือกริยาที่ใช้นำหน้าประโยครายงาน เช่น said, told, asked, explained ความสำคัญของมันคือช่วยบอกลักษณะและเจตนาของคำพูดเดิม ทำให้ผู้ฟังหรือผู้อ่านเข้าใจบริบทได้ชัดเจนขึ้น เช่น การใช้ complained บอกว่าผู้พูดไม่พอใจ การใช้ promised บอกว่าผู้พูดให้คำมั่น หรือการใช้ suggested บอกว่าผู้พูดเสนอแนะ การเลือก Reporting Verb ที่เหมาะสมจึงทำให้การสื่อสารมีความแม่นยำและสื่อความหมายได้ครบถ้วน

3. คำกริยาประเภทใดบ้างที่ตามด้วยโครงสร้างแตกต่างกัน

Reporting Verbs แบ่งเป็นกลุ่มตามโครงสร้างที่ตามหลัง กลุ่มที่ใช้ to + Verb เช่น agree, promise, refuse, offer, threaten (He agreed to help) กลุ่มที่ใช้ Object + to + Verb เช่น advise, tell, order, remind, warn (She advised me to study) กลุ่มที่ใช้ Verb-ing เช่น suggest, recommend, deny, admit (He suggested going) กลุ่มที่ใช้ that + Clause เช่น say, claim, complain, explain, insist (She claimed that she was right) การจำแนกแบบนี้ช่วยให้นำไปใช้ได้ถูกต้องตามหลักไวยากรณ์

4. Reported Speech ต่างจาก Quoted Speech อย่างไรในงานเขียนเชิงวิชาการ

Quoted Speech (การอ้างคำพูดตรง) ใช้เครื่องหมายคำพูดและคัดลอกคำพูดเดิมทุกคำ เหมาะกับการอ้างอิงที่ต้องการความแม่นยำสูง เช่น การอ้างคำพูดของผู้เชี่ยวชาญหรือข้อความสำคัญในงานวิจัย ในขณะที่ Reported Speech (การรายงานทางอ้อม) ถ่ายทอดความหมายโดยไม่ใช้คำพูดเดิม เหมาะกับการสรุปหรือถ่ายทอดข้อมูลทั่วไป ในงานเขียนเชิงวิชาการมักใช้ Reported Speech เมื่อต้องการสังเคราะห์ข้อมูลจากหลายแหล่งหรือเมื่อคำพูดเดิมยาวเกินไป ส่วน Quoted Speech ใช้เมื่อต้องการเน้นย้ำคำพูดที่มีนัยสำคัญหรือมีความหมายเฉพาะที่ไม่ควรตีความ

การเข้าใจ reported speech สรุป ทั้งหมดนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้น การนำไปใช้จริงต้องอาศัยการฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง ลองหาโอกาสใช้ reported speech ในชีวิตประจำวัน เช่น เล่าสิ่งที่เพื่อนพูดให้คนอื่นฟัง หรือสรุปเนื้อหาจากบทสนทนาที่ได้ยิน การฝึกฝนเป็นประจำจะช่วยให้คุณใช้โครงสร้างนี้ได้อย่างคล่องแคล่วและเป็นธรรมชาติ พร้อมสำหรับการสอบและการสื่อสารในชีวิตจริง

Nalinee (นลินี)
Nalinee (นลินี)https://toeicmentor.com
สวัสดีค่ะ ฉันชื่อ Nalinee (นลินี) ผู้ดูแลเนื้อหาเว็บไซต์ Toeicmentor.com แพลตฟอร์มออนไลน์ที่สร้างขึ้นเพื่อสนับสนุนผู้เรียน TOEIC ในประเทศไทยโดยเฉพาะ ฉันมีหน้าที่คัดสรรและจัดการเนื้อหาทั้งหมดบนเว็บไซต์ เพื่อให้แน่ใจว่าผู้เรียนจะได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง เข้าใจง่าย และอัปเดตล่าสุดอยู่เสมอ ไม่ว่าคุณจะเป็นมือใหม่หรือกำลังเตรียมสอบเพื่อคะแนนที่สูงขึ้น Toeicmentor.com พร้อมเป็นเพื่อนคู่คิดในทุกขั้นตอนของการเรียนรู้ TOEIC ของคุณ

รายการบทความ

บางทีคุณอาจสนใจ

โพสต์ใหม่

คลังแบบฝึกหัด Wh-Questions 4 ระดับ (พร้อมเฉลยละเอียด)

คุณกำลังหาแบบฝึกหัด wh questions ที่ครอบคลุมทุกระดับความยากไหม? บทความนี้รวบรวมโจทย์ตั้งแต่พื้นฐานจนถึงขั้นสูง พร้อมเฉลยละเอียดและไฟล์ PDF...

รวมแบบฝึกหัด Present Perfect Tense พร้อมเฉลยละเอียด (เรียงจากง่ายไปยาก)

Present Perfect Tense เป็นโครงสร้างไวยากรณ์ที่เชื่อมเหตุการณ์ในอดีตเข้ากับปัจจุบัน ซึ่งหลายคนมักสับสนกับ Past Simple...

รวมแบบฝึกหัด Present Continuous Tense กว่า 50 ข้อ! พร้อมเฉลยละเอียด

การเรียน Present Continuous มักทำให้ผู้เรียนสับสนเรื่องการสะกดคำกริยา การเลือกใช้ is, am,...