TOEIC GrammarPart of Speech คืออะไร? สรุปครบ 8 ชนิด พร้อมตัวอย่างและแบบฝึกหัด

Part of Speech คืออะไร? สรุปครบ 8 ชนิด พร้อมตัวอย่างและแบบฝึกหัด

Part of Speech คืออะไร และทำไมจึงเป็นหัวใจสำคัญของการเรียนภาษาอังกฤษ? หากคุณกำลังมองหาคำตอบที่ครบถ้วนและเข้าใจง่าย บทความนี้จะพาคุณเจาะลึก ทั้ง 9 ชนิดของ Part of Speech พร้อมตัวอย่างประโยคจริง เทคนิคการจำแนก และแบบฝึกหัดที่จะช่วยให้คุณเชี่ยวชาญไวยากรณ์อังกฤษอย่างมั่นใจ ตั้งแต่ระดับพื้นฐานไปจนถึงขั้นสูงในเวลาอันสั้น

I. Part of Speech คืออะไร?

Part of speech คืออะไร คือการแบ่งชนิดของคำในภาษาอังกฤษตามหน้าที่และการใช้งานในประโยค ซึ่งเป็นระบบการจำแนกคำศัพท์ที่ช่วยให้เราเข้าใจโครงสร้างภาษาอังกฤษได้อย่างเป็นระบบ การเรียนรู้เรื่องนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษในทุกด้าน

การเข้าใจ part of speech คือ รากฐานสำคัญที่จะช่วยให้คุณสร้างประโยคที่ถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ ช่วยในการอ่านและเข้าใจข้อความที่ซับซ้อน เป็นพื้นฐานสำหรับการเรียนรู้ไวยากรณ์ขั้นสูงเช่น tenses และ sentence structure รวมถึงช่วยในการทำข้อสอบมาตรฐานเช่น TOEIC และ IELTS ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

II. เจาะลึก Part of Speech ทั้ง 9 ชนิด: หน้าที่, ตำแหน่ง และประเภทย่อยเชิงลึก

1. Noun (คำนาม) – ตัวตนของสิ่งต่างๆ ในประโยค

คำนามคือคำที่ใช้เรียกชื่อบุคคล สัตว์ สิ่งของ สถานที่ แนวคิด หรือสิ่งที่มีตัวตนและไม่มีตัวตน ในประโยคภาษาอังกฤษ คำนามมักจะทำหน้าที่เป็นประธาน (subject) หรือกรรม (object) และปรากฏในตำแหน่งต่างๆ ขึ้นอยู่กับโครงสร้างประโยค

Noun (คำนาม) - ตัวตนของสิ่งต่างๆ ในประโยค

การจำแนกประเภทย่อย:

  • Common Noun (คำนามทั่วไป): teacher, book, happiness
  • Proper Noun (คำนามเฉพาะ): Bangkok, Monday, Samsung
  • Countable Noun (คำนามนับได้): apple, student, chair
  • Uncountable Noun (คำนามนับไม่ได้): water, information, music

ตัวอย่างประโยค:

  • “My teacher gives us homework every day” (อาจารย์ของฉันให้การบ้านเราทุกวัน)
  • “The students are studying English in the library” (นักเรียนกำลังเรียนภาษาอังกฤษในห้องสมุด)

ข้อควรระวัง: คำนามนับไม่ได้จะไม่สามารถเติม -s หรือ -es เพื่อทำเป็นพหูพจน์ได้ และต้องใช้ quantifiers เช่น much, little, some เมื่อต้องการบอกปริมาณ

2. Pronoun (คำสรรพนาม) – ตัวแทนที่ช่วยลดความซ้ำซาก

คำสรรพนามทำหน้าที่แทนคำนามเพื่อหลีกเลี่ยงการใช้คำนามซ้ำๆ ในประโยคเดียวกันหรือประโยคที่ต่อเนื่องกัน ซึ่งจะทำให้การสื่อสารราบรื่นและไม่น่าเบื่อ คำสรรพนามจะปรากฏในตำแหน่งเดียวกับคำนามที่มันแทน

ประเภทหลักของคำสรรพนามมี:

  • Personal Pronoun (คำสรรพนามบุรุษ): I, you, he, she, it, we, they
  • Possessive Pronoun (คำสรรพนามแสดงความเป็นเจ้าของ): mine, yours, his, hers, ours, theirs
  • Demonstrative Pronoun (คำสรรพนามชี้เฉพาะ): this, that, these, those
  • Relative Pronoun (คำสรรพนามเชื่อม): who, which, that

ตัวอย่างประโยค:

  • “John is a good student. He always does his homework” (จอห์นเป็นนักเรียนที่ดี เขาทำการบ้านเสมอ)
  • This is my book, and that is yours” (นี่เป็นหนังสือของฉัน และนั่นเป็นของคุณ)

ข้อควรระวัง: คำสรรพนามต้องสอดคล้องกับคำนามที่แทนทั้งในด้านเพศ จำนวน และบุรุษ

3. Verb (คำกริยา) – แกนหลักที่ขับเคลื่อนประโยค

คำกริยาเป็นหัวใจสำคัญของประโยคที่แสดงการกระทำ สภาวะ หรือการดำรงอยู่ของประธาน ทุกประโยคที่สมบูรณ์ต้องมีคำกริยาเสมอ และคำกริยาจะกำหนดเวลาและรูปแบบของเหตุการณ์ในประโยค

คำกริยาแบ่งเป็น:

  • Action Verb (คำกริยาแสดงการกระทำ): run, write, eat, think
  • Linking Verb (คำกริยาเชื่อม): am, is, are, become, seem
  • Helping/Auxiliary Verb (คำกริยาช่วย): will, have, do, can, must
  • Modal Verb (คำกริยาช่วยพิเศษ): should, would, might, could

ตัวอย่างประโยค:

  • “She runs every morning” (เธอวิ่งทุกเช้า)
  • “The weather is nice today” (อากาศดีวันนี้)
  • “I have finished my work” (ฉันทำงานเสร็จแล้ว)
  • “You should study harder” (คุณควรเรียนหนักกว่านี้)

ข้อควรระวัง: คำกริยาสามารถเปลี่ยนรูปตาม tense, voice, และ mood ได้

4. Adjective (คำคุณศัพท์) – ผู้เพิ่มสีสันให้คำนาม

คำคุณศัพท์ทำหน้าที่ขยายหรือบรรยายคำนามและคำสรรพนาม เพื่อให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับคุณสมบัติ ลักษณะ สี ขนาด หรือจำนวน คำคุณศัพท์จะปรากฏหน้าคำนามหรือหลัง linking verb

ประเภทของคำคุณศัพท์มี:

  • Descriptive Adjective (บรรยายลักษณะ): beautiful, tall, intelligent
  • Quantitative Adjective (บอกจำนวน): many, few, several
  • Demonstrative Adjective (ชี้เฉพาะ): this, that, those
  • Possessive Adjective (แสดงความเป็นเจ้าของ): my, your, his, her

ตัวอย่างประโยค:

  • “The beautiful girl is reading a thick book” (หญิงสาวสวยกำลังอ่านหนังสือหนา)
  • Many students like this teacher” (นักเรียนหลายคนชอบอาจารย์คนนี้)

ข้อควรระวัง: คำคุณศัพท์ในภาษาอังกฤษจะไม่เปลี่ยนรูปตามเพศหรือจำนวนของคำนาม

5. Adverb (คำกริยาวิเศษณ์) – ผู้ปรับแต่งความหมาย

คำกริยาวิเศษณ์ขยายและปรับแต่งความหมายของคำกริยา คำคุณศัพท์ หรือคำกริยาวิเศษณ์อื่น โดยให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับลักษณะ เวลา สถานที่ ระดับ หรือความถี่ของการกระทำ

Adverb (คำกริยาวิเศษณ์) - ผู้ปรับแต่งความหมาย

คำกริยาวิเศษณ์แบ่งตามหน้าที่เป็น:

  • Adverb of Manner (วิธีการ): quickly, carefully, beautifully
  • Adverb of Time (เวลา): yesterday, now, always
  • Adverb of Place (สถานที่): here, there, everywhere
  • Adverb of Degree (ระดับ): very, quite, extremely

ตัวอย่างประโยค:

  • “She speaks fluently” (เธอพูดอย่างคล่องแคล่ว)
  • “He always arrives early” (เขามาถึงเร็วเสมอ)
  • “The test was very difficult” (การสอบยากมาก)

เคล็ดลับสำคัญคือคำกริยาวิเศษณ์หลายคำสร้างมาจากคำคุณศัพท์โดยเติม -ly เช่น quick → quickly, careful → carefully แต่มีข้อยกเว้นที่ต้องจำเป็นพิเศษ

6. Preposition (คำบุพบท) – สะพานเชื่อมความสัมพันธ์

คำบุพบทแสดงความสัมพันธ์ระหว่างคำนามหรือคำสรรพนามกับคำอื่นในประโยค โดยเฉพาะด้านตำแหน่ง เวลา ทิศทาง หรือลักษณะต่างๆ คำบุพบทจะอยู่หน้าคำนามหรือคำสรรพนามเสมอ

ประเภทหลักของคำบุพบทได้แก่:

  • Preposition of Place (สถานที่): in, on, at, under, between
  • Preposition of Time (เวลา): before, after, during, since
  • Preposition of Direction (ทิศทาง): to, from, through, toward
  • Preposition of Manner (วิธีการ): by, with, without

ตัวอย่างประโยค:

  • “The book is on the table” (หนังสืออยู่บนโต๊ะ)
  • “We will meet at 3 o’clock” (เราจะพบกันตอนบ่ายสามโมง)
  • “She went to school by bus” (เธอไปโรงเรียนโดยรถเมล์)

การใช้คำบุพบทถูกต้องต้องอาศัยการจำและฝึกฝน เพราะไม่มีกฎเกณฑ์ที่ตายตัว และความหมายอาจเปลี่ยนไปตามบริบทการใช้งาน

7. Conjunction (คำสันธาน) – ผู้เชื่อมประสานความคิด

คำสันธานทำหน้าที่เชื่อมคำ วลี หรือประโยคเข้าด้วยกัน เพื่อสร้างความต่อเนื่องและความเชื่อมโยงทางความหมาย ทำให้การสื่อสารมีความซับซ้อนและสมบูรณ์มากขึ้น

ประเภทของคำสันธานมี:

  • Coordinating Conjunction (เชื่อมเท่าเทียม): and, but, or, so, yet
  • Subordinating Conjunction (เชื่อมไม่เท่าเทียม): because, although, when, if, while
  • Correlative Conjunction (เชื่อมคู่): either…or, neither…nor, both…and

ตัวอย่างประโยค:

  • “I like tea and coffee” (ฉันชอบทั้งชาและกาแฟ)
  • “She studied hard because she wanted to pass the exam” (เธอเรียนหนักเพราะต้องการสอบผ่าน)
  • Either you come or I will go” (ไม่ก็คุณมาไม่ก็ฉันไป)

การเลือกใช้คำสันธานที่เหมาะสมจะช่วยให้การเขียนและการพูดมีความชัดเจน มีโครงสร้าง และแสดงความสัมพันธ์ระหว่างแนวคิดได้อย่างแม่นยำ

8. Interjection (คำอุทาน) – เสียงแห่งอารมณ์และความรู้สึก

คำอุทานแสดงอารมณ์ ความรู้สึก หรือปฏิกิริยาทันทีทันใดของผู้พูด โดยไม่มีความเชื่อมโยงทางไวยากรณ์กับส่วนอื่นของประโยค คำอุทานมักใช้ในการสนทนาเพื่อแสดงความเป็นธรรมชาติ

คำอุทานที่พบบ่อยมี:

  • Oh (แสดงความประหลาดใจ)
  • Wow (แสดงความทึ่ง)
  • Alas (แสดงความเศร้า)
  • Hurray (แสดงความดีใจ)
  • Ouch (แสดงความเจ็บปวด)
  • Hello/Goodbye (แสดงการทักทาย/ลาจาก)

ตัวอย่างประโยค:

  • Oh, I forgot my wallet!” (โอ้ ฉันลืมกระเป๋าเงิน!)
  • Wow, that’s amazing!” (ว้าว นั่นมันเจ๋งมาก!)
  • Alas, we lost the game” (อนิจจา เราแพ้เกม)

คำอุทานมักจะตามด้วยเครื่องหมายอัศเจรีย์ (!) และสามารถใช้เป็นประโยคเดี่ยวๆ ได้โดยไม่ต้องมีโครงสร้างไวยากรณ์ที่สมบูรณ์

9. Determiner (คำกำหนด) – ผู้นำหน้าและกำหนดขอบเขต

คำกำหนดเป็นหมวดคำที่แยกออกมาจากคำคุณศัพท์ในสมัยใหม่ เพื่อความแม่นยำทางไวยากรณ์ ทำหน้าที่นำหน้าคำนามเพื่อกำหนดขอบเขต ความเฉพาะเจาะจง หรือปริมาณของสิ่งที่กล่าวถึง

ประเภทของคำกำหนดมี:

  • Article (คำกำหนดหลัก): a, an, the
  • Quantifier (คำบอกปริมาณ): some, many, few, all, every
  • Possessive Determiner (แสดงความเป็นเจ้าของ): my, your, his, her
  • Demonstrative Determiner (ชี้เฉพาะ): this, that, these, those

ตัวอย่างประโยค:

  • The student read a book” (นักเรียนคนนั้นอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง)
  • Some people like this kind of music” (บางคนชอบเพลงประเภทนี้)
  • All students must bring their ID cards” (นักเรียนทุกคนต้องนำบัตรประจำตัวมา)

ความสำคัญของคำกำหนดคือช่วยให้ผู้ฟังเข้าใจว่าเราพูดถึงสิ่งใดโดยเฉพาะหรือทั่วไป และมีปริมาณเท่าใด ซึ่งจะทำให้การสื่อสารชัดเจนและแม่นยำยิ่งขึ้น

III. คำถามที่พบบ่อย (FAQs) และข้อสงสัยเชิงลึกเกี่ยวกับ Part of Speech

1. Determiner แตกต่างจาก Adjective อย่างไร และทำไมถึงแยกออกมา?

Determiner คือคำที่นำหน้าคำนามเพื่อกำหนดขอบเขตหรือความเฉพาะเจาะจง ในขณะที่ Adjective ทำหน้าที่บรรยายคุณสมบัติของคำนาม ความแตกต่างหลักคือ Determiner ต้องมาก่อน Adjective เสมอ และไม่สามารถใช้โดยลำพังหลัง linking verb ได้ เช่น “The beautiful flower” ซึ่ง the เป็น Determiner และ beautiful เป็น Adjective การแยกประเภทนี้ทำให้การวิเคราะห์ไวยากรณ์แม่นยำและสอดคล้องกับหลักภาษาศาสตร์สมัยใหม่

2. คำที่ทำหน้าที่ขยาย (Modifier) มีอะไรบ้าง และเกี่ยวข้องกันอย่างไร?

คำที่ทำหน้าที่ขยายหลักในภาษาอังกฤษคือ Adjective และ Adverb โดย Adjective ขยายคำนามและคำสรรพนาม ส่วน Adverb ขยายคำกริยา คำคุณศัพท์ และคำกริยาวิเศษณ์อื่น ความเชื่อมโยงระหว่างทั้งสองคือสามารถแปลงกันได้โดยการเติมหรือตัด -ly เช่น quick (adjective) → quickly (adverb) การเข้าใจความสัมพันธ์นี้จะช่วยในการใช้คำขยายอย่างถูกต้องและเหมาะสม

3. Part of Speech ในภาษาอังกฤษเปรียบเทียบกับภาษาไทยได้อย่างไร?

ภาษาไทยไม่มีระบบ Part of Speech ที่เด็ดขาดเหมือนภาษาอังกฤษ เพราะคำในภาษาไทยสามารถเปลี่ยนหน้าที่ได้ง่ายกว่าโดยไม่ต้องเปลี่ยนรูป เช่น คำว่า “วิ่ง” สามารถเป็นได้ทั้งคำกริยา (“เขาวิ่งเร็ว”) และคำนาม (“การวิ่งเป็นการออกกำลังกาย”) ในขณะที่ภาษาอังกฤษมักต้องเปลี่ยนรูปคำหรือใช้คำต่างกัน เช่น run (verb) และ running (noun) ความเข้าใจความแตกต่างนี้จะช่วยให้ผู้เรียนปรับความคิดและเข้าใจโครงสร้างภาษาอังกฤษได้ดีขึ้น

4. ประโยคภาษาอังกฤษจะขาด Verb ได้หรือไม่?

ประโยคที่สมบูรณ์ในภาษาอังกฤษต้องมี Verb เสมอ แม้ในกรณีที่ดูเหมือนไม่มี เช่น “How nice!” ก็ยังมี verb ที่ถูกละไว้ คือ “How nice (it is)!” การมี verb เป็นกฎเหล็กของภาษาอังกฤษที่แตกต่างจากภาษาไทยซึ่งสามารถมีประโยคโดยไม่มีกริยาได้ เช่น “สวยจัง!” เหตุผลคือภาษาอังกฤษต้องการโครงสร้างไวยากรณ์ที่ชัดเจนและเป็นระบบมากกว่า

การเข้าใจ part of speech คืออะไร และการรู้จัก part of speech มีอะไรบ้าง ทั้ง 9 ชนิดเป็นรากฐานสำคัญที่จะช่วยให้คุณพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษในทุกด้านอย่างเป็นระบบ ตั้งแต่การสร้างประโยคที่ถูกต้อง การอ่านเข้าใจ การเขียนที่มีประสิทธิภาพ ไปจนถึงการสอบ TOEIC และ IELTS ที่ต้องการความแม่นยำทางไวยากรณ์ ความรู้นี้จะช่วยให้คุณมีพื้นฐานที่มั่นคงสำหรับการเรียนรู้หัวข้อขั้นสูงต่อไป

ขั้นตอนถัดไปคือการนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตจริงโดยการสังเกตและวิเคราะห์ Part of Speech ขณะอ่านข่าว บทความ หรือสื่อภาษาอังกฤษต่างๆ การใช้ความรู้นี้ตรวจสอบความถูกต้องของงานเขียนของตัวเอง และการศึกษาหัวข้อไวยากรณ์ขั้นสูงเช่น Tenses Complex Sentences และ Passive Voice ที่ต้องการพื้นฐาน Part of Speech ที่แข็งแกร่ง เพื่อให้การเรียนรู้ภาษาอังกฤษเป็นไปอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพสูงสุด

Nalinee (นลินี)
Nalinee (นลินี)https://toeicmentor.com
สวัสดีค่ะ ฉันชื่อ Nalinee (นลินี) ผู้ดูแลเนื้อหาเว็บไซต์ Toeicmentor.com แพลตฟอร์มออนไลน์ที่สร้างขึ้นเพื่อสนับสนุนผู้เรียน TOEIC ในประเทศไทยโดยเฉพาะ ฉันมีหน้าที่คัดสรรและจัดการเนื้อหาทั้งหมดบนเว็บไซต์ เพื่อให้แน่ใจว่าผู้เรียนจะได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง เข้าใจง่าย และอัปเดตล่าสุดอยู่เสมอ ไม่ว่าคุณจะเป็นมือใหม่หรือกำลังเตรียมสอบเพื่อคะแนนที่สูงขึ้น Toeicmentor.com พร้อมเป็นเพื่อนคู่คิดในทุกขั้นตอนของการเรียนรู้ TOEIC ของคุณ
สารบัญ [hide]

รายการบทความ

บางทีคุณอาจสนใจ

โพสต์ใหม่

คำกริยาอังกฤษ (Verbs) ฉบับสมบูรณ์: ครบทุกเรื่องที่ต้องรู้ พร้อมตารางกริยา 3 ช่อง และแบบฝึกหัด

การเรียนรู้คำกริยา อังกฤษให้เข้าใจไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป! บทความนี้รวบรวมทุกสิ่งที่คุณต้องรู้เกี่ยวกับคำกริยาภาษาอังกฤษ ตั้งแต่ความหมายพื้นฐาน ประเภทของกริยา ตารางกริยา 3...

ฝึกอ่านภาษาอังกฤษ: คู่มือฉบับสมบูรณ์ จากเริ่มต้นสู่ขั้นสูง

เคยเปิดบทความภาษาอังกฤษแล้วรีบปิดเพราะศัพท์เยอะจนท้อหรือไม่? คุณไม่ได้เป็นคนเดียว เพราะปัญหาใหญ่ของคนไทยส่วนใหญ่คือการไม่รู้จะเริ่มต้นฝึกอ่านภาษาอังกฤษอย่างไรให้ถูกวิธี บทความนี้ไม่ใช่แค่การรวบรวมเว็บไซต์มาให้ดู แต่เป็น "แผนที่" ที่จะนำทางคุณทีละขั้นตอนอย่างเป็นระบบ...

รวม 50+ คำคุณศัพท์ พื้นฐานที่ใช้บ่อยที่สุด พร้อมตัวอย่างประโยคและความหมาย เข้าใจง่าย

คุณรู้หรือไม่ว่าการใช้คําคุณศัพท์เพียง 50 คำ สามารถเปลี่ยนประโยคธรรมดาให้เปี่ยมด้วยชีวิตชีวาได้อย่างน่าทึ่ง! บทความนี้รวบรวม คำ คุณศัพท์...