คุณเคยรู้สึกไหมว่าแปลประโยคภาษาอังกฤษออกแล้ว แต่พอมาเจอข้อสอบ Parts of Speech กลับทำผิด? ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ความรู้ แต่อยู่ที่วิธีคิดของเรา การท่องจำความหมายไม่เพียงพอต่อการทำข้อสอบ Grammar คุณต้องเข้าใจโครงสร้างและตำแหน่งของคำในประโยค บทความนี้รวม แบบฝึกหัด parts of speech 100 ข้อแบ่งเป็น 3 ระดับ พร้อมเฉลยละเอียดและเทคนิคลัดที่จะช่วยให้คุณวิเคราะห์ประโยคได้อย่างแม่นยำ มาเริ่มต้นเปลี่ยนวิธีคิดและยกระดับทักษะ Grammar ของคุณกันเลย
I. Parts of Speech มีอะไรบ้าง? รู้จัก 8 ประเภทหลัก
ก่อนจะลงมือทำแบบฝึกหัด เรามาทำความรู้จักกับ Parts of Speech ทั้งหมดกันก่อน ภาษาอังกฤษแบ่งคำออกเป็น 8 ประเภทหลัก ตามหน้าที่ที่ทำในประโยค แต่ละประเภทมีบทบาทเฉพาะตัว เหมือนนักแสดงในละครที่แต่ละคนมีบทบาทของตัวเอง
การเข้าใจหน้าที่ของแต่ละ Part of Speech จะช่วยให้คุณวิเคราะห์ประโยคได้แม่นยำ และทำ parts of speech แบบฝึกหัด ได้ถูกต้องมากขึ้น มาดูกันทีละประเภทว่าแต่ละตัวทำหน้าที่อะไร
| Part of Speech | หน้าที่หลัก | ตัวอย่าง | ในประโยค |
| Noun (คำนาม) | เป็นชื่อของคน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ หรือแนวคิด | teacher, dog, happiness | The teacher is kind. (ครูใจดี) |
| Pronoun (คำสรรพนาม) | ใช้แทนคำนามเพื่อไม่ให้ซ้ำซ้อน | I, you, he, she, it, they | She loves reading. (เธอชอบอ่านหนังสือ) |
| Verb (คำกริยา) | แสดงการกระทำหรือสถานะ | run, eat, is, have | They study hard. (พวกเขาเรียนหนัก) |
| Adjective (คำคุณศัพท์) | ขยายคำนาม บอกคุณลักษณะ | beautiful, tall, blue | A beautiful flower. (ดอกไม้สวย) |
| Adverb (คำกริยาวิเศษณ์) | ขยายกริยา คุณศัพท์ หรือกริยาวิเศษณ์ด้วยกัน | quickly, very, well | He runs quickly. (เขาวิ่งเร็ว) |
| Preposition (คำบุพบท) | แสดงความสัมพันธ์ของคำนามกับส่วนอื่น | in, on, at, with | The book is on the table. (หนังสืออยู่บนโต๊ะ) |
| Conjunction (คำสันธาน) | เชื่อมคำ วลี หรือประโยคเข้าด้วยกัน | and, but, or, because | I like tea and coffee. (ฉันชอบชาและกาแฟ) |
| Interjection (คำอุทาน) | แสดงอารมณ์หรือความรู้สึกอย่างกะทันหัน | wow, oh, ouch | Wow! That’s amazing. (ว้าว! เจ๋งมาก) |
นอกจาก 8 ประเภทหลักนี้แล้ว บางตำรายังแยก Determiner (คำนำหน้านาม) เช่น a, an, the, this, that ออกมาเป็นหมวดหมู่เฉพาะ แต่ในแบบฝึกหัดส่วนใหญ่มักจัดอยู่ในกลุ่ม Adjective เพราะทำหน้าที่คล้ายกัน คือขยายหรือระบุคำนาม
สิ่งที่ต้องเข้าใจคือ คำหนึ่งคำสามารถเป็นได้หลาย Part of Speech ขึ้นอยู่กับตำแหน่งและบริบทในประโยค ตัวอย่างเช่น คำว่า “book” สามารถเป็นได้ทั้ง Noun ในประโยค “I read a book” (ฉันอ่านหนังสือ – คำนาม) และเป็น Verb ในประโยค “I book a hotel” (ฉันจองโรงแรม – กริยา) นี่คือเหตุผลที่การท่องจำความหมายเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ
การเข้าใจภาพรวมของ Parts of Speech ทั้ง 8 ประเภทนี้จะเป็นรากฐานสำคัญในการทำแบบฝึกหัดทุกระดับ เพราะคุณจะรู้ว่าในประโยคหนึ่งๆ ควรมีองค์ประกอบอะไรบ้าง และแต่ละส่วนทำหน้าที่อย่างไร เมื่อเข้าใจแล้ว เรามาเรียนรู้เทคนิคการจำที่รวดเร็วขึ้นกันในหัวข้อถัดไป
II. สรุปสูตรลัด (Cheat Sheet): ดู Suffix ปุ๊บ รู้ปั๊บ
ก่อนเริ่มทำแบบฝึกหัด เรามาติดอาวุธกันก่อนด้วยเครื่องมือที่จะช่วยให้คุณระบุ Part of Speech ได้อย่างรวดเร็ว นั่นคือการดู Suffix หรือส่วนท้ายของคำ การรู้จัก Suffix ที่พบบ่อยจะช่วยให้คุณคาดเดาหน้าที่ของคำได้ทันทีโดยไม่ต้องมานั่งวิเคราะห์ประโยคยาวๆ
| Noun (คำนาม) | Verb (คำกริยา) | Adjective (คำคุณศัพท์) | Adverb (คำกริยาวิเศษณ์) |
| -tion (education) | -ify (simplify) | -ous (famous) | -ly (quickly) |
| -ness (happiness) | -ize (realize) | -ful (beautiful) | -ward (forward) |
| -ment (development) | -ate (create) | -less (hopeless) | -wise (likewise) |
| -ity (clarity) | -en (strengthen) | -able (comfortable) | -ways (always) |
| -ism (capitalism) | – | -ive (active) | – |
| -er/-or (teacher) | – | -al (national) | – |
| -ance/-ence (importance) | – | -ic (economic) | – |
สิ่งสำคัญที่ต้องเข้าใจคือแนวคิด Word Family หรือตระกูลคำ ซึ่งเป็นกลุ่มคำที่มีรากศัพท์ (Root) เดียวกันแต่เปลี่ยน Suffix ไปตามหน้าที่ที่ต่างกัน ตัวอย่างเช่น:
Root: HAPPY (มีความสุข)
- Noun: happiness (ความสุข) → “Her happiness was obvious.”
- Adjective: happy (มีความสุข) → “She is a happy person.”
- Adverb: happily (อย่างมีความสุข) → “She smiled happily.”
การเห็นภาพแบบนี้จะทำให้คุณเข้าใจว่าคำหนึ่งคำสามารถ “แปลงร่าง” ได้ตามบริบทของประโยค และถ้าคุณจำ Suffix เหล่านี้ได้ คุณก็จะระบุหน้าที่ของคำได้ทันที
อย่างไรก็ตาม มีข้อควรระวังบางประการที่คุณต้องรู้:
ข้อยกเว้นที่ควรจำ: ไม่ใช่ทุกคำที่ลงท้ายด้วย -ly จะเป็น Adverb เสมอไป เช่น “lovely” (น่ารัก), “friendly” (เป็นมิตร), “lonely” (เหงา) เหล่านี้เป็น Adjective ไม่ใช่ Adverb นอกจากนี้ คำบางคำอาจมี Suffix เหมือนกันแต่เป็นคนละ Part of Speech เช่น “practice” (ฝึกฝน – Noun/Verb) กับ “practical” (ใช้งานได้จริง – Adjective)
เมื่อคุณมีเครื่องมือพื้นฐานนี้แล้ว ถึงเวลาลงสนามทำแบบฝึกหัด parts of speech กันจริงๆ
III. แบบฝึกหัด Level 1: Identification (แยกแยะประเภท)
ในระดับนี้ เราจะเริ่มจากพื้นฐานที่สุด คือการระบุว่าคำที่ขีดเส้นใต้ในประโยคทำหน้าที่เป็น Part of Speech ประเภทไหน โจทย์ในระดับนี้จะเป็นประโยคเดี่ยว (Simple Sentence) ที่ไม่ซับซ้อน เน้นฝึกความแม่นยำในการดูตำแหน่งและกฎพื้นฐาน
แบบฝึกหัดที่ 1: ระบุว่าคำที่ขีดเส้นใต้เป็น Part of Speech ประเภทใด
- She is a talented musician. (เธอเป็นนักดนตรีที่มีความสามารถ)
- They quickly finished their homework. (พวกเขาทำการบ้านเสร็จอย่างรวดเร็ว)
- The students study every day. (นักเรียนเหล่านั้นเรียนทุกวัน)
- He speaks English fluently. (เขาพูดภาษาอังกฤษได้คล่อง)
- This book is very interesting. (หนังสือเล่มนี้น่าสนใจมาก)
เฉลย:
- Adjective → อยู่หลัง “a” และหน้า Noun “musician” ทำหน้าที่ขยาย musician
- Adverb → ลงท้ายด้วย -ly และขยาย Verb “finished” บอกว่าทำอย่างไร
- Noun → อยู่หลัง “The” และทำหน้าที่เป็นประธานของประโยค
- Adverb → ลงท้ายด้วย -ly และขยาย Verb “speaks” บอกว่าพูดอย่างไร
- Adjective → อยู่หลัง “very” และหลัง Linking verb “is” ทำหน้าที่บอกคุณสมบัติของ book
ข้อ 6-10: ระบุว่าคำที่ขีดเส้นใต้เป็น Part of Speech ประเภทใด
- We need creativity in this project. (เราต้องการความคิดสร้างสรรค์ในโปรเจกต์นี้)
- The teacher explained the lesson clearly. (ครูอธิบายบทเรียนอย่างชัดเจน)
- She wore a beautiful dress. (เธอสวมชุดที่สวยงาม)
- He arrived late to the meeting. (เขามาถึงการประชุมสาย)
- The decision was difficult. (การตัดสินใจนั้นยาก)
เฉลย:
- Noun → ลงท้ายด้วย -ity และอยู่หลัง Verb “need” ทำหน้าที่เป็นกรรม
- Verb → ลงท้ายด้วย -ed และอยู่หลังประธาน แสดงการกระทำในอดีต
- Adjective → อยู่หลัง “a” หน้า Noun “dress” ขยายชุดว่าเป็นแบบไหน
- Adverb → ขยาย Verb “arrived” บอกว่ามาถึงอย่างไร (แม้ไม่ลงท้าย -ly)
- Noun → ลงท้ายด้วย -sion และทำหน้าที่เป็นประธาน
จากโจทย์ 10 ข้อนี้ คุณจะเห็นว่าการดู Suffix และตำแหน่งในประโยคช่วยให้เราระบุ Part of Speech ได้อย่างรวดเร็ว เมื่อคุณเชี่ยวชาญ Level 1 แล้ว ก็พร้อมไปต่อกับ Level 2 ที่ท้าทายกว่า
IV. แบบฝึกหัด Level 2: Contextual Analysis (คำเดียว หลายหน้าที่)
ระดับนี้จะซับซ้อนขึ้น เพราะเราจะเจอคำที่รูปร่างเหมือนกันแต่ทำหน้าที่ต่างกันตามบริบท ภาษาอังกฤษเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า Homonyms หรือคำพ้องรูป ซึ่งเป็นจุดที่ทำให้คนไทยสับสนมากที่สุด เพราะเราต้องอาศัยบริบทแวดล้อม (Surrounding Words) ในการวิเคราะห์ว่าคำนั้นทำหน้าที่อะไรในประโยค
แบบฝึกหัดที่ 2: เปรียบเทียบประโยคและระบุหน้าที่ของคำที่ขีดเส้นใต้
- a. She gave me good advice. (เธอให้คำแนะนำที่ดีแก่ฉัน)
- b. I advise you to study harder. (ฉันแนะนำให้คุณเรียนหนักขึ้น)
- The light is too bright. (แสงสว่างเกินไป)
- Please light the candles. (กรุณาจุดเทียน)
- She wore a light blue dress. (เธอสวมชุดสีฟ้าอ่อน)
- I love chocolate. (ฉันรักช็อกโกแลต)
- Love is important. (ความรักสำคัญ)
- Can you open the door? (คุณเปิดประตูได้ไหม)
- The door is open. (ประตูเปิดอยู่)
- They will present the project tomorrow. (พวกเขาจะนำเสนอโปรเจกต์พรุ่งนี้)
- This is a present for you. (นี่คือของขวัญสำหรับคุณ)
เฉลย:
- Noun (กรรมของ gave)
- Verb (กริยาหลัก)
- Noun (ประธาน)
- Verb (กริยาหลัก)
- Adjective (ขยาย blue)
- Verb (กริยาหลัก)
- Noun (ประธาน)
- Verb (กริยาหลัก)
- Adjective (คุณลักษณะหลัง Linking verb)
- Verb (กริยาหลัก, ออกเสียง pre-ZENT)
- Noun (กรรมของ is, ออกเสียง PRE-sent)
V. แบบฝึกหัด Level 3: Exam Mode (Error & Cloze Test)
ระดับนี้เป็นการจำลองข้อสอบจริง ที่คุณจะเจอในสนามสอบต่างๆ เช่น TOEIC, IELTS หรือข้อสอบเข้ามหาวิทยาลัย โจทย์จะซับซ้อนขึ้นมาก เพราะมีส่วนขยาย (Modifiers) หลายชั้น มีส่วนประกอบของประโยคที่ยาวขึ้น และมี Distractor หรือตัวเลือกที่ออกแบบมาเพื่อหลอกให้คุณผิด
แบบฝึกหัดที่ 3: Error Identification – หาข้อผิดในประโยคและแก้ไขให้ถูก
- The company needs someone who can creative solve problems. (บริษัทต้องการคนที่สามารถแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์)
- She is a highly respected scientist in her field. (เธอเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ได้รับการเคารพอย่างสูงในสาขาของเธอ)
- The beautify of the sunset amazed everyone. (ความงามของพระอาทิตย์ตกดินทำให้ทุกคนประหลาดใจ)
- They success completed the project on time. (พวกเขาทำโปรเจกต์สำเร็จทันเวลา)
- The teacher’s explain was very clear. (คำอธิบายของครูชัดเจนมาก)
เฉลย:
- ผิด → “creative” ต้องเป็น “creatively” เพราะต้องการ Adverb ขยาย Verb “solve” ไม่ใช่ Adjective วิเคราะห์ Distractor: หลายคนเลือก “creative” เพราะคิดว่าขยาย “someone” แต่จริงๆ แล้วตำแหน่งนี้อยู่หน้า Verb ต้องใช้ Adverb
- ถูกต้อง → “highly” เป็น Adverb ขยาย Adjective “respected” ซึ่งอยู่หน้า Noun “scientist”
- ผิด → “beautify” (Verb) ต้องเป็น “beauty” (Noun) เพราะอยู่หลัง Article “The” และทำหน้าที่เป็นประธาน วิเคราะห์ Distractor: “beautify” ดูเหมือนถูกเพราะลงท้าย -ify แต่มันเป็น Verb (ทำให้สวย) ไม่ใช่ Noun
- ผิด → “success” (Noun) ต้องเป็น “successfully” (Adverb) เพราะต้องการคำขยาย Verb “completed” วิเคราะห์ Distractor: เนื่องจากประโยคแปลว่า “สำเร็จ” หลายคนจึงใช้ “success” ทันที โดยไม่สังเกตว่าตำแหน่งต้องการ Adverb
- ผิด → “explain” (Verb) ต้องเป็น “explanation” (Noun) เพราะอยู่หลัง Possessive “teacher’s” และทำหน้าที่เป็นประธาน
แบบฝึกหัดที่ 4: เลือกคำที่เหมาะสมที่สุดเติมลงในช่องว่าง
- The _______ of this theory requires more research. A) valid B) validate C) validation D) validly
- She speaks English _______ than her brother. A) fluent B) fluently C) more fluently D) most fluent
- His _______ to the problem was very practical. A) solve B) solution C) solving D) solved
- The company needs to _______ its production process. A) efficiency B) efficient C) efficiently D) improve efficiently
- She felt _______ after receiving the good news. A) happiness B) happy C) happily D) happier
เฉลย:
- C) validation
- C) more fluently
- B) solution
- D) improve efficiently
- B) happy
V. ข้อควรระวังและหลุมพราง (Common Pitfalls)
แม้ว่าคุณจะเข้าใจกฎและทำแบบฝึกหัด parts of speech มามากแค่ไหน ก็ยังมีหลุมพรางบางอย่างที่คนไทยมักผิดบ่อย การรู้จักหลุมพรางเหล่านี้ล่วงหน้าจะช่วยให้คุณหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดได้
หลุมพรางที่ 1: สับสน -ly = Adverb เสมอ ❌ ผิด: คิดว่าทุกคำที่ลงท้าย -ly เป็น Adverb ✓ ถูก: มีคำบางคำลงท้าย -ly แต่เป็น Adjective เช่น lovely (น่ารัก), friendly (เป็นมิตร), lonely (เหงา), silly (โง่), lively (มีชีวิตชีวา)
หลุมพรางที่ 2: ไม่แยก -tion กับ -sion ❌ ผิด: คิดว่า -tion กับ -sion ต่างกัน ✓ ถูก: ทั้งคู่เป็น Noun Suffix ที่หมายถึงการกระทำหรือสภาวะ เพียงแต่การสะกดต่างกัน เช่น education (การศึกษา), decision (การตัดสินใจ)
หลุมพรางที่ 3: สับสนคำที่มีหน้าตาเหมือนกัน
คำบางคู่มีรูปร่างใกล้เคียงกันมาก แต่เป็นคนละ Part of Speech:
- practice (Noun/Verb – การฝึกฝน/ฝึกฝน) vs practical (Adjective – ใช้ได้จริง)
- advice (Noun – คำแนะนำ) vs advise (Verb – แนะนำ)
- effect (Noun – ผลกระทบ) vs affect (Verb – มีผลต่อ)
หลุมพรางที่ 4: ลืมดู Word Order ในภาษาอังกฤษ
ภาษาไทยมีความยืดหยุ่นในการเรียงคำมากกว่าภาษาอังกฤษ เราอาจพูดว่า “บ้านสวย” หรือ “สวยบ้าน” ก็ได้ แต่ในภาษาอังกฤษต้องเป็น “beautiful house” เท่านั้น ไม่สามารถเป็น “house beautiful” ได้ (เว้นแต่กรณีพิเศษทางวรรณกรรม)
หลุมพรางที่ 5: มองข้าม Compound Words
คำประสม (Compound Words) อาจทำให้สับสนได้ เช่น “well-known” (มีชื่อเสียง) เป็น Adjective แม้จะมี Adverb “well” อยู่ในนั้น หรือ “income” (รายได้) เป็น Noun แม้จะมี Verb “come” อยู่ในนั้น
การรู้จักหลุมพรางเหล่านี้จะช่วยให้คุณตรวจสอบคำตอบของตัวเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ และลดโอกาสที่จะเสียคะแนนจากข้อผิดพลาดที่หลีกเลี่ยงได้
การเรียนรู้ Parts of Speech ไม่ใช่แค่การท่องจำว่าคำไหนเป็น Noun คำไหนเป็น Verb แต่เป็นการสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งสำหรับการเรียน Grammar ขั้นสูงต่อไป ไม่ว่าจะเป็น Tenses, Passive Voice หรือ Conditional Sentences ล้วนต้องอาศัยความเข้าใจ Parts of Speech เป็นพื้นฐาน
จากแบบฝึกหัด ข้อที่คุณได้ฝึกฝนมา คุณได้เรียนรู้ทั้งการระบุประเภทคำ การวิเคราะห์บริบท การแก้ไขข้อผิดพลาด และเทคนิคขั้นสูงในการแยกโครงสร้างประโยค สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้คุณมั่นใจมากขึ้นในการใช้ภาษาอังกฤษ ทั้งในการสอบและการสื่อสารจริง
จำไว้ว่าความชำนาญมาจากการฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ อย่าท้อใจถ้ายังทำผิดบ้าง เพราะทุกคนต่างผ่านขั้นตอนนี้มา สิ่งสำคัญคือคุณต้องเข้าใจว่าทำไมถึงผิด และพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ ขอให้คุณประสบความสำเร็จในเส้นทางการเรียนภาษาอังกฤษ!
