กำลังสับสนว่าควรสอบ TOEIC TOEFL หรือ IELTS? บทความนี้ตอบทุกข้อสงสัยด้วยตารางเปรียบเทียบที่ชัดเจน แบบประเมินตัวเองเพื่อเลือกข้อสอบที่ใช่ และคำแนะนำเชิงลึกจากผู้เชี่ยวชาญ ไม่ว่าเป้าหมายคุณจะเป็นการทำงาน เรียนต่อ หรือย้ายถิ่นฐาน เราจะช่วยให้คุณเลือกข้อสอบที่เหมาะสมที่สุดกับความต้องการและสไตล์การเรียนของคุณ พร้อมเคล็ดลับการตัดสินใจที่จะนำคุณไปสู่ความสำเร็จ
I. สอบ TOEIC TOEFL IELTS ต่าง กัน อย่างไร?
สำหรับผู้ที่ต้องการเห็นภาพรวมอย่างรวดเร็ว ตารางนี้คือคำตอบแรกของคุณ การเข้าใจความแตกต่างพื้นฐานจะช่วยให้คุณมองเห็นทิศทางที่ชัดเจนขึ้น
เกณฑ์เปรียบเทียบ | TOEIC | TOEFL iBT | IELTS Academic |
วัตถุประสงค์หลัก | การสื่อสารในที่ทำงาน | การศึกษาต่อระดับอุดมศึกษา | ศึกษาต่อ/ย้ายถิ่นฐาน (สากล) |
กลุ่มเป้าหมาย | คนทำงาน/สมัครงานในไทย | นักเรียน/นักศึกษา (เป้าหมายอเมริกา/แคนาดา) | นักเรียน/นักศึกษา (เป้าหมายอังกฤษ/ออสเตรเลีย/ทั่วโลก) |
ทักษะที่เน้น | การฟัง-อ่านในบริบทธุรกิจ | การใช้ภาษาเชิงวิชาการแบบบูรณาการ | การใช้ภาษาครบ 4 ทักษะ (Academic/General) |
รูปแบบการสอบ Speaking | พูดใส่คอมพิวเตอร์ (ถ้ามี) | พูดใส่คอมพิวเตอร์ | พูดคุยกับผู้คุมสอบตัวต่อตัว |
คะแนนเต็ม | 990 | 120 | 9.0 |
ตารางนี้จะช่วยให้คุณได้รับข้อมูล 80% ที่สำคัญที่สุดภายใน 1 นาทีแรก เพื่อสร้างพื้นฐานความเข้าใจก่อนเจาะลึกในรายละเอียดต่อไป
II. ทำความรู้จักข้อสอบ TOEIC TOEFL IELTS แต่ละประเภท
การเข้าใจจุดมุ่งหมายและลักษณะเฉพาะของแต่ละข้อสอบจะช่วยให้คุณเลือกได้ถูกต้อง แต่ละข้อสอบออกแบบมาเพื่อวัดความสามารถในบริบทที่แตกต่างกัน
1. TOEIC: ข้อสอบวัดความสามารถในการสื่อสารทางธุรกิจ
TOEIC ไม่ใช่ข้อสอบวัดความ “เก่ง” แต่เป็นข้อสอบวัด “ความสามารถในการสื่อสารทางธุรกิจ” สถานการณ์ในข้อสอบครอบคลุมการประชุมทางโทรศัพท์ การอ่านอีเมลธุรกิจ ประกาศในออฟฟิศ และการสนทนาในที่ทำงาน
บริษัทในไทยและเอเชียยอมรับคะแนน TOEIC เป็นหลักเพราะสะท้อนความสามารถที่จำเป็นในสภาพแวดล้อมการทำงานจริง คนที่ควรสอบ TOEIC คือผู้ที่ต้องการใช้คะแนนเพื่อสมัครงาน เลื่อนตำแหน่ง หรือประเมินความสามารถด้านภาษาอังกฤษในบริบทการทำงาน
2. TOEFL: ข้อสอบวัดภาษาเชิงวิชาการสำหรับการศึกษา
TOEFL ออกแบบมาเพื่อวัด “ภาษาเชิงวิชาการ” (Academic English) ที่นักศึกษาต้องใช้ในสภาพแวดล้อมมหาวิทยาลัย เนื้อหาครอบคลุมการฟังเลคเชอร์ในห้องเรียน การอ่านตำราเรียนระดับมหาวิทยาลัย การเขียนเรียงความเชิงวิเคราะห์ และการพูดอภิปรายหัวข้อวิชาการ
ข้อสอบนี้เหมาะกับคนที่จะไปเรียนต่อ โดยเฉพาะในระบบการศึกษาอเมริกาและแคนาดา เพราะมหาวิทยาลัยในภูมิภาคนี้ส่วนใหญ่ยอมรับ TOEFL เป็นหลัก และรูปแบบข้อสอบสอดคล้องกับความต้องการทางวิชาการในระบบการศึกษาอเมริกัน
3. IELTS: ข้อสอบที่ยืดหยุ่นและเป็นสากล
IELTS มีจุดเด่นเรื่อง “ความเป็นสากล” และ “ความยืดหยุ่น” ที่โดดเด่นกว่าข้อสอบอื่น ข้อสอบนี้แบ่งเป็น 2 โมดูลหลัก คือ Academic Module สำหรับคนเรียนต่อ และ General Training Module สำหรับคนย้ายถิ่นฐานหรือทำงานต่างประเทศ
ความแตกต่างสำคัญระหว่างทั้งสองโมดูลคือ Academic Module เน้นเนื้อหาวิชาการ เช่น การอ่านบทความจากวารสารวิชาการ การเขียนรายงานและกราฟ ส่วน General Training Module เน้นสถานการณ์ในชีวิตประจำวัน เช่น การอ่านโบรชัวร์ การเขียนจดหมายส่วนตัว และการอ่านคู่มือการใช้งาน
IELTS ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางทั่วโลก โดยเฉพาะในอังกฤษ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และแคนาดา ทำให้เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับคนที่ยังไม่แน่ใจว่าจะไปประเทศไหนหรือต้องการความยืดหยุ่นในการใช้คะแนน
III. ตารางแปลงคะแนน TOEIC TOEFL IELTS
การแปลงคะแนนระหว่างข้อสอบต่างๆ ช่วยให้คุณเข้าใจระดับความสามารถและวางแผนการเตรียมตัวได้อย่างชัดเจน ตารางนี้จัดทำจากข้อมูลเปรียบเทียบอย่างเป็นทางการและการวิจัยจากสถาบันการศึกษาชั้นนำ
1. ตารางแปลงคะแนนมาตรฐาน
ระดับ CEFR | IELTS (9.0) | TOEFL iBT (120) | TOEIC L&R (990) | คำอธิบายความสามารถ |
C2 | 8.5-9.0 | 114-120 | 945-990 | ใช้ภาษาได้อย่างแม่นยำในสถานการณ์ซับซ้อน |
C1 | 7.0-8.0 | 95-113 | 870-940 | ใช้ภาษาได้อย่างมีประสิทธิภาพในงานและการศึกษา |
B2 | 5.5-6.5 | 72-94 | 785-865 | สื่อสารได้คล่องในหัวข้อที่คุ้นเคยและไม่คุ้นเคย |
B1 | 4.0-5.0 | 42-71 | 550-780 | จัดการสถานการณ์ทั่วไปในการเดินทางและทำงาน |
A2 | 3.0-3.5 | 10-41 | 225-545 | สื่อสารในหัวข้อที่คุ้นเคยและใช้ในชีวิตประจำวัน |
A1 | 2.0-2.5 | 0-9 | 120-220 | ใช้ภาษาเบื้องต้นในสถานการณ์ง่ายๆ |
2. ตัวอย่างการใช้ตารางแปลงคะแนน
หากคุณได้คะแนน TOEIC 785 แต่ต้องการสมัครเรียนต่อที่ต้องใช้คะแนน IELTS คุณจะอยู่ในระดับ B2 ซึ่งเทียบเท่ากับ IELTS 5.5-6.5 ข้อมูลนี้ช่วยให้คุณตั้งเป้าหมายการเตรียนตัวได้อย่างเหมาะสม
สำหรับคนที่ได้ TOEFL iBT 95 และต้องการสมัครงานที่ใช้คะแนน TOEIC ระดับความสามารถของคุณอยู่ที่ C1 ซึ่งคาดว่าจะได้คะแนน TOEIC ประมาณ 870-940
หมายเหตุ: ตารางนี้เป็นการประมาณค่าเพื่อการอ้างอิงเท่านั้น ความแตกต่างในรูปแบบข้อสอบและทักษะที่เน้นอาจส่งผลต่อคะแนนจริง
IV. แบบประเมินส่วนตัวเพื่อเลือกข้อสอบที่ใช่สำหรับคุณ
การตัดสินใจเลือกข้อสอบควรเริ่มจากการทำความเข้าใจเป้าหมายของตัวเองก่อน ชุดคำถามนี้จะนำทางคุณไปสู่คำตอบที่เหมาะสม
คำถามที่ 1: เป้าหมายหลักของคุณคืออะไร?
หากคุณตอบว่า “ทำงานในไทย/เลื่อนตำแหน่ง” TOEIC คือตัวเลือกที่เหมาะสม เพราะบริษัทไทยและต่างชาติในไทยส่วนใหญ่ใช้คะแนน TOEIC เป็นเกณฑ์ในการประเมินความสามารถภาษาอังกฤษของพนักงาน
หากคุณตอบว่า “เรียนต่อ” ให้ไปยังคำถามที่ 2 เพื่อเลือกระหว่าง TOEFL กับ IELTS
หากคุณตอบว่า “ย้ายถิ่นฐาน/ทำงานต่างประเทศ” IELTS General Training คือทางเลือกที่ดีที่สุด เพราะออกแบบมาเฉพาะสำหรับวัตถุประสงค์นี้
คำถามที่ 2 (สำหรับคนเรียนต่อ): ประเทศและมหาวิทยาลัยที่คุณสนใจยอมรับข้อสอบอะไร?
ตรวจสอบกับเว็บไซต์มหาวิทยาลัยโดยตรงเป็นขั้นตอนสำคัญ เพราะความต้องการอาจเปลี่ยนแปลงได้ หากยอมรับทั้งสองข้อสอบ ให้พิจารณาปัจจัยเพิ่มเติม เช่น สำเนียงที่คุณถนัด รูปแบบการสอบ Speaking ที่คุณชอบ และระยะเวลาที่มีในการเตรียมตัว
V. ถาม-ตอบเชิงลึก: เคลียร์ทุกประเด็นคาใจ
1. ความแตกต่างระหว่าง “Band” ของ IELTS กับ “Score” ของ TOEFL คืออะไร?
“Band” ของ IELTS เป็นการประเมินความสามารถในแต่ละระดับ (Descriptor) ตั้งแต่ Non-user (Band 0) ถึง Expert user (Band 9) แต่ละ Band บอกลักษณะความสามารถที่ชัดเจน เช่น Band 6 หมายถึง “Competent user” ที่มีความสามารถโดยรวมที่มีประสิทธิภาพแม้จะมีข้อผิดพลาดบ้าง
ในขณะที่ “Score” ของ TOEFL เป็นคะแนนรวมที่สะท้อนประสิทธิภาพโดยรวมในการทำข้อสอบ โดยคะแนนจะสะท้อนจำนวนข้อที่ตอบถูกและความยากของข้อสอบ
2. จำเป็นต้องสอบ TOEIC ครบ 4 ทักษะหรือไม่?
ไม่จำเป็นเสมอไป TOEIC Listening & Reading เป็นที่นิยมที่สุดและใช้กันอย่างแพร่หลายในไทย แต่ TOEIC Speaking & Writing ก็มีความสำคัญเพิ่มขึ้นในบางตำแหน่งงานที่ต้องการทักษะการสื่อสารครบถ้วน เช่น ตำแหน่งที่ต้องประชุมกับลูกค้าต่างชาติหรือเขียนรายงานเป็นภาษาอังกฤษ
ควรตรวจสอบกับบริษัทหรือตำแหน่งงานที่สนใจว่าต้องการคะแนนส่วนไหนบ้าง
3. ข้อสอบไหนทำบนคอมพิวเตอร์บ้าง?
TOEFL iBT และ IELTS Computer-delivered คือข้อสอบที่ทำบนคอมพิวเตอร์ทั้งหมด การสอบแบบนี้ส่งผลต่อการเตรียมตัว โดยเฉพาะทักษะการพิมพ์เร็วสำหรับพาร์ท Writing หากคุณพิมพ์ช้า อาจต้องฝึกทักษะนี้ก่อนสอบจริง
IELTS ยังมีรูปแบบ Paper-based ให้เลือกด้วย ซึ่งเหมาะสำหรับคนที่ชอบเขียนด้วยปากกาและไม่คุ้นเคยกับการพิมพ์
4. IELTS กับ TOEFL ต่างกันอย่างไรในเรื่องการบริหารเวลาสอบ?
IELTS ผู้สอบสามารถข้ามไปทำข้อสอบ Writing ข้อไหนก่อนก็ได้ และสามารถกลับมาแก้ไขคำตอบได้ ในขณะที่ TOEFL ต้องทำตามลำดับและไม่สามารถกลับไปแก้ไขคำตอบในส่วนที่ผ่านมาแล้ว
ความแตกต่างนี้ส่งผลต่อกลยุทธ์การบริหารเวลา หากคุณเป็นคนที่ชอบวางแผนและจัดการเวลาด้วยตัวเอง IELTS อาจเหมาะกับคุณมากกว่า
การเลือกข้อสอบที่ “ถูกต้อง” ไม่ใช่การเลือกข้อสอบที่ “ง่ายที่สุด” แต่คือการเลือกข้อสอบที่ “สอดคล้องกับเป้าหมายที่สุด” เมื่อคุณเข้าใจจุดมุ่งหมายและลักษณะเฉพาะของแต่ละข้อสอบ การตัดสินใจจะกลายเป็นเรื่องที่ชัดเจนและมั่นใจ เมื่อคุณเลือกสนามสอบที่ใช่สำหรับคุณได้แล้ว นั่นคือก้าวแรกที่สำคัญที่สุดบนเส้นทางสู่ความสำเร็จตามเป้าหมายที่คุณตั้งไว้ การเตรียมตัวอย่างมีแผนและการฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอจะนำคุณไปสู่คะแนนที่ต้องการและเปิดประตูสู่โอกาสใหม่ๆ ในอนาคต