การเรียนรู้คำกริยา อังกฤษให้เข้าใจไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป! บทความนี้รวบรวมทุกสิ่งที่คุณต้องรู้เกี่ยวกับคำกริยาภาษาอังกฤษ ตั้งแต่ความหมายพื้นฐาน ประเภทของกริยา ตารางกริยา 3 ช่องที่ครบถ้วนพร้อมคำอ่านและตัวอย่างประโยค เทคนิคการจำแบบง่ายๆ จนถึงแบบฝึกหัดทดสอบความรู้ พร้อมเฉลยและคำอธิบายโดยละเอียด เพื่อให้คุณสามารถใช้คำกริยาได้อย่างมั่นใจและถูกต้องในทุกสถานการณ์
I. คำกริยาในภาษาอังกฤษคืออะไร และทำไมถึงสำคัญ?
1. ความหมายของคำกริยา (Verb Definition) แบบเข้าใจง่ายที่สุด
คำกริยา อังกฤษ เปรียบเหมือน “หัวใจ” หรือ “เครื่องยนต์” ของประโยคที่ทำให้ประโยคมีความหมายและเคลื่อนไหวได้อย่างมีชีวิตชีวา ถ้าไม่มีคำกริยา ประโยคก็จะไม่สมบูรณ์และไม่สามารถสื่อความหมายได้อย่างชัดเจน เช่น “She book” จะไม่รู้ว่าเธอทำอะไรกับหนังสือ แต่ถ้าเติม “reads” เข้าไป กลายเป็น “She reads a book” (เธออ่านหนังสือ) ความหมายก็ชัดเจนทันที
2. บทบาทสำคัญ 2 ประการของคำกริยาภาษาอังกฤษที่คุณต้องรู้
คำกริยาภาษาอังกฤษมีหน้าที่หลักสองอย่างที่สำคัญมาก ประการแรกคือการบอกการกระทำ (Action) หรือสภาวะ (State) เช่น run (วิ่ง), eat (กิน), think (คิด), is (เป็น/อยู่), feel (รู้สึก) ซึ่งช่วยให้เราเข้าใจว่าประธานกำลังทำอะไรหรือเป็นอย่างไร ประการที่สองคือการบอกกาลเวลา (Tenses) ที่แสดงให้เห็นว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อไหร่ ไม่ว่าจะเป็นอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคต การมีอยู่ของ Verb ทำให้เรารู้ทันทีว่าเรื่องราวนั้นเกิดขึ้นในช่วงเวลาไหน
II. รู้จักประเภทของคำกริยาภาษาอังกฤษ: 3 รูปแบบหลักที่ต้องเจอ
คำกริยาภาษาอังกฤษแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลักที่ผู้เรียนต้องเข้าใจให้ชัดเจน แต่ละประเภทมีลักษณะและหน้าที่เฉพาะตัวที่แตกต่างกัน การรู้จักประเภทเหล่านี้จะช่วยให้เราเลือกใช้คำกริยาได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม
1. กริยาแสดงอาการ (Action Verbs)
กริยาแสดงอาการเป็นคำที่เห็นภาพการกระทำชัดเจนที่สุด เมื่อได้ยินคำเหล่านี้เราสามารถจินตนาการถึงการเคลื่อนไหวหรือกิจกรรมได้ทันที ตัวอย่างเช่น “She reads a book every night” (เธออ่านหนังสือทุกคืน) หรือ “They play soccer in the park” (พวกเขาเล่นฟุตบอลในสวนสาธารณะ) คำกริยาประเภทนี้มักจะเป็นคำที่แสดงถึงกิจกรรมที่เราทำด้วยร่างกายหรือสมอง เช่น walk, write, study, cook
2. กริยาเชื่อม (Linking Verbs)
กริยาเชื่อมทำหน้าที่เชื่อมประธานกับคำคุณศัพท์หรือคำนามที่มาขยายความ โดยไม่ได้แสดงการกระทำแต่อย่างใด คำกริยาประเภทนี้ช่วยบอกสภาพหรือลักษณะของประธาน ตัวอย่างเช่น “He is a doctor” (เขาเป็นหมอ) หรือ “The food smells delicious” (อาหารนี้หอมน่ากิน) กริยาเชื่อมที่พบบ่อย ได้แก่ be, seem, become, appear, smell, taste, feel, sound, look
3. กริยาช่วย (Helping/Auxiliary Verbs)
กริยาช่วยต้องมาพร้อมกริยาแท้เสมอ เพื่อช่วยสร้างประโยคคำถาม ประโยคปฏิเสธ หรือบอก Tense ให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น เปรียบเทียบให้เห็นชัดเจน เช่น ประโยคบอกเล่าธรรมดา “I swim” (ฉันว่ายน้ำ) แต่เมื่อมีกริยาช่วยจะกลายเป็น “I can swim” (ฉันสามารถว่ายน้ำได้), “I do not swim” (ฉันไม่ว่ายน้ำ), หรือ “I will swim” (ฉันจะว่ายน้ำ) กริยาช่วยที่สำคัญ ได้แก่ do, be, have, will, would, can, could, should, must
III. ตารางกริยา 3 ช่อง (Irregular Verbs) ฉบับสมบูรณ์
1. ทำไมต้องมี ‘กริยา 3 ช่อง’?
กริยากลุ่มนี้ไม่เติม -ed เหมือนกริยาปกติ จึงต้องท่องจำเป็นพิเศษเพื่อใช้ใน Past Tense และ Perfect Tense อย่างถูกต้อง การรู้กริยา 3 ช่องจะช่วยให้เราสร้างประโยคในกาลต่างๆ ได้อย่างมั่นใจและแม่นยำ
2. ตารางรวมคำกริยา 3 ช่อง
V.1 (Infinitive) | V.2 (Past Simple) | V.3 (Past Participle) | คำอ่าน | คำแปล | ตัวอย่างประโยค |
be | was/were | been | บี-แวส/เวอร์-บีน | เป็น/อยู่ | I have been here before (ฉันเคยมาที่นี่แล้ว) |
go | went | gone | โก-เวนท์-กอน | ไป | She went to school yesterday (เธอไปโรงเรียนเมื่อวาน) |
come | came | come | คัม-เคม-คัม | มา | They have come back home (พวกเขากลับบ้านแล้ว) |
do | did | done | ดู-ดิด-ดัน | ทำ | He did his homework (เขาทำการบ้าน) |
see | saw | seen | ซี-ซอ-ซีน | เห็น | I saw a movie last night (ฉันดูหนังเมื่อคืน) |
take | took | taken | เทค-ทุค-เทคเคิน | เอา/นำ | She has taken the bus (เธอขึ้นรถเมล์แล้ว) |
give | gave | given | กิฟ-เกฟ-กิฟเวิน | ให้ | We gave him a gift (เราให้ของขวัญเขา) |
get | got | gotten/got | เก็ท-ก็อท-ก็อทเทิน | ได้รับ | I got your message (ฉันได้รับข้อความของคุณ) |
make | made | made | เมค-เมด-เมด | ทำ/สร้าง | She made a cake (เธอทำเค้ก) |
know | knew | known | โน-นู-โนน | รู้ | He knew the answer (เขารู้คำตอบ) |
think | thought | thought | ธิงค์-ธอท-ธอท | คิด | I thought about you (ฉันคิดถึงคุณ) |
say | said | said | เซ-เซด-เซด | พูด | She said hello (เธอทักทาย) |
eat | ate | eaten | อีท-เอท-อีทเทิน | กิน | We ate dinner together (เรากินข้าวเย็นด้วยกัน) |
write | wrote | written | ไรท์-โรท-ริทเทิน | เขียน | He wrote a letter (เขาเขียนจดหมาย) |
read | read | read | รีด-เรด-เรด | อ่าน | I read this book (ฉันอ่านหนังสือเล่มนี้) |
3. เคล็ดลับการจำ
การจำกริยา 3 ช่องจะง่ายขึ้นถ้าเราจัดกลุ่มตามแพตเทิร์นการเปลี่ยนแปลง กลุ่ม AAA เป็นกลุ่มที่ไม่เปลี่ยนรูปเลย เช่น cut-cut-cut, put-put-put กลุ่ม ABA เป็นกลุ่มที่ช่องที่ 1 และ 3 เหมือนกัน เช่น come-came-come, run-ran-run กลุ่ม ABB เป็นกลุ่มที่ช่องที่ 2 และ 3 เหมือนกัน เช่น buy-bought-bought, teach-taught-taught การจัดกลุ่มแบบนี้จะช่วยให้เราจำได้ง่ายและแม่นยำมากขึ้น
4. ข้อควรรู้: กริยาปกติ (Regular Verbs)
กริยาปกติคือกริยาที่เติม -ed ในรูป Past Simple และ Past Participle เช่น walk-walked-walked, play-played-played กริยาเหล่านี้มีจำนวนมากกว่ากริยาไม่ปกติ แต่การเรียนรู้กริยา 3 ช่องจะช่วยให้เราใช้ภาษาอังกฤษได้หลากหลายและถูกต้องมากขึ้น
IV. วิธีนำคำกริยาไปใช้จริง: สร้างประโยคง่ายๆ ด้วย Tense พื้นฐาน
1. การใช้กริยาช่องที่ 1 กับ Present Simple Tense
โครงสร้างพื้นฐานคือ Subject + V.1 (เติม s/es เมื่อประธานเป็นบุรุษที่ 3 เอกพจน์) การใช้งานนี้แสดงถึงความจริงทั่วไป นิสัย หรือกิจวัตรประจำวัน ตัวอย่างเช่น
- He works at the hospital every day (เขาทำงานที่โรงพยาบาลทุกวัน)
- She always drinks coffee in the morning (เธอดื่มกาแฟทุกเช้า)
2. การใช้กริยาช่องที่ 2 กับ Past Simple Tense
โครงสร้างคือ Subject + V.2 ใช้เพื่อเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและจบสิ้นแล้วในอดีต ตัวอย่างเช่น
- They went to Japan last year (พวกเขาไปญี่ปุ่นเมื่อปีที่แล้ว)
- I saw him at the mall yesterday (ฉันเห็นเขาที่ห้างเมื่อวาน)
การใช้ V.2 ทำให้ผู้ฟังเข้าใจทันทีว่าเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นในอดีต
3. การใช้กริยาช่องที่ 3 กับ Present Perfect Tense
โครงสร้างคือ Subject + have/has + V.3 ใช้เพื่อพูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตแต่มีผลกระทบต่อปัจจุบัน ตัวอย่างเช่น
- I have seen this movie before (ฉันเคยดูหนังเรื่องนี้แล้ว)
- She has finished her homework (เธอทำการบ้านเสร็จแล้ว)
การใช้ Present Perfect แสดงให้เห็นความเชื่อมโยงระหว่างอดีตและปัจจุบัน
บทความแนะนำอ่านต่อ:
- ไขความลับ Passive Voice Present Simple แบบมืออาชีพ
- Passive Voice Past Simple: โครงสร้าง วิธีใช้ และแบบฝึกหัด
- Passive Voice Present Perfect: เรียนรู้ใน 5 นาที
V. แบบฝึกหัดเรื่องคำกริยา (พร้อมเฉลยและคำอธิบาย)
- เติมกริยาที่ถูกต้องในช่องว่าง: She _____ to school every day. (go/goes/went)
- เลือกรูปแบบกริยาที่ถูกต้อง: They _____ the movie last night. (see/saw/seen)
- เติมกริยาช่วยที่เหมาะสม: I _____ not like spicy food. (do/does/did)
- เลือกรูปแบบที่ถูกต้อง: He has _____ his breakfast. (eat/ate/eaten)
- เติม V.2 ที่ถูกต้อง: We _____ a good time at the party yesterday. (have/had/has)
- เติมกริยาให้สมบูรณ์: They _____ their homework when I called. (do/were doing/have done)
เฉลยละเอียด
- goes – เพราะประธาน “She” เป็นบุรุษที่ 3 เอกพจน์ จึงต้องเติม s ท้าย verb ในกาล Present Simple
- saw – เพราะมีคำบอกเวลา “last night” ต้องใช้ Past Simple Tense (V.2)
- do – เพราะประธาน “I” ใช้กับ do ในประโยคปฏิเสธ Present Simple
- eaten – เพราะใช้กับ Present Perfect Tense ต้องการ V.3
- had – เพราะมี “yesterday” ต้องใช้ Past Simple และ have-had-had
- were doing – เพราะแสดงการกระทำที่กำลังเกิดขึ้นในอดีตเมื่อมีอีกเหตุการณ์หนึ่งเข้ามาขัดจังหวะ
VI. คำถามที่พบบ่อยและเกร็ดความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับคำกริยา (FAQ)
1. Phrasal Verbs (กริยาวลี) คืออะไร และต่างจากคำกริยาทั่วไปอย่างไร?
Phrasal Verbs คือ Verb + Preposition/Adverb ที่เมื่อรวมกันแล้วจะมีความหมายใหม่ที่แตกต่างจากคำกริยาตัวหลัก ตัวอย่างเช่น look (มอง) แต่ look for (มองหา), turn (หมุน) แต่ turn off (ปิด), give (ให้) แต่ give up (ยอมแพ้) การรู้จัก Phrasal Verbs จะทำให้เราเข้าใจภาษาอังกฤษในระดับที่ใกล้เคียงเจ้าของภาษามากขึ้น
2. คำกริยา ‘Do’, ‘Be’, ‘Have’ แตกต่างกันอย่างไรเมื่อทำหน้าที่เป็นกริยาแท้และกริยาช่วย?
เมื่อเป็นกริยาแท้: Do = ทำ (I do homework), Be = เป็น/อยู่ (She is happy), Have = มี (They have a car) เมื่อเป็นกริยาช่วย: Do = ช่วยสร้างคำถามและปฏิเสธ (Do you like it?), Be = ช่วยสร้าง Progressive Tense (I am reading), Have = ช่วยสร้าง Perfect Tense (I have done it) การเข้าใจบทบาทคู่นี้จะช่วยให้เราใช้ภาษาอังกฤษได้อย่างยืดหยุ่นและถูกต้อง
3. คำกริยาในภาษาอังกฤษกลุ่มใดบ้างที่มักสร้างความสับสนให้คนไทยมากที่สุด?
คู่กริยาที่สับสนบ่อยที่สุด ได้แก่ lie (นอน)/lay (วาง), rise (ขึ้น)/raise (ยก), borrow (ยืม)/lend (ให้ยืม) ตัวอย่างประโยคที่ถูกต้อง: “I lie down on the bed” (ฉันนอนบนเตียง), “Please lay the book on the table” (โปรดวางหนังสือบนโต๊ะ), “Can I borrow your pen?” (ฉันขอยืมปากกาได้ไหม), “I will lend you my book” (ฉันจะให้คุณยืมหนังสือ)
4. จริงหรือไม่? ที่คำกริยาภาษาอังกฤษบางคำสามารถเป็นได้ทั้ง Action Verb และ Linking Verb
จริงค่ะ! คำกริยาบางคำสามารถเปลี่ยนหน้าที่ได้ตามบริบทของประโยค ตัวอย่างที่ชัดเจนคือคำว่า taste เมื่อเป็น Action Verb: “She tastes the soup” (เธอกำลังชิมซุป – แสดงการกระทำ) เมื่อเป็น Linking Verb: “The soup tastes good” (ซุปรสชาติดี – บอกสภาวะ) การสังเกตบริบทและความหมายของประโยคจะช่วยให้เราแยกแยะได้อย่างถูกต้อง
การเรียนรู้คำกริยาภาษาอังกฤษเป็นเพียงจุดเริ่มต้นสู่การใช้ภาษาอังกฤษอย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อคุณเข้าใจและสามารถใช้กริยาได้อย่างถูกต้องแล้ว ทักษะการสื่อสารของคุณจะพัฒนาขึ้นอย่างเห็นได้ชัด การท่องจำตารางกริยา 3 ช่องอาจดูน่าเบื่อในตอนแรก แต่เมื่อใช้งานจริงแล้วจะพบว่าเป็นพื้นฐานที่สำคัญที่สุดในการสร้างประโยคที่ถูกต้องและมีความหมาย
จากนี้ไป ให้ลองนำความรู้ที่ได้ไปใช้ในชีวิตประจำวันผ่านการอ่านข่าว การดูหนัง หการฟังเพลงภาษาอังกฤษ และที่สำคัญคือการฝึกพูดและเขียนอย่างสม่ำเสมอ ความมั่นใจในการใช้คำกริยาจะช่วยให้คุณก้าวข้ามอุปสรรคทางภาษาและเปิดโอกาสใหม่ๆ ในการเรียน การทำงาน และการสื่อสารกับคนทั่วโลกได้อย่างประสบความสำเร็จ